ที่ปรึกษาของกษัตริย์ ของ เบเรงเกลาแห่งกัสติยา

แม้จะครองราชย์ไม่นาน แต่เบเรงเกลาก็เป็นที่ปรึกษาคนใกล้ชิดที่สุดของพระโอรสต่อไป ทรงก้าวก่ายในการเมืองของรัฐ แม้จะเป็นการกระทำในทางอ้อม[28] ในรัชสมัยของพระโอรส นักเขียนในยุคนั้นเขียนว่าพระองค์ยังคงมีอำนาจเหนือพระโอรส[28] อาทิ ทรงจัดแจงให้พระโอรสอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลีซาเบ็ท (หรือ เบอาตริซ ในภาษากัสติยา) แห่งโฮเอินชเตาเฟิน บุตรสาวของดยุคฟิลลิพแห่งสเวเบีย และพระนัดดาของจักรพรรดิสองพระองค์ คือ จักรพรรดิฟรีดริช บาร์บาร็อสซา และจักรพรรดิไอแซกที่ 2 อันเจลอสแห่งไบเซนไทน์[29] พิธีแต่งงานเกิดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1219 ที่บูร์โกส[29] อีกเหตุการณ์หนึ่งคือการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยของเบเรงเกลาที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1218 เมื่อตระกูลลาราเจ้าแผนการที่หัวหน้าตระกูลยังคงเป็นอัลบาโร นุญเญซ เด ลารา อดีตผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน วางแผนสมคบคิดจะให้พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 กษัตริย์แห่งเลออนและพระบิดาของพระเจ้าเฟร์นันโด บุกกัสติยาเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ของพระโอรส[29] ทว่าการจับกุมตัวเคานต์ลาราทำได้ง่ายขึ้นเมื่อเบเรงเกลายื่นมือเข้ามาแทรกแซง พระองค์ทำให้อดีตพระสวามีกับพระโอรสลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกชั่วคราวโตโรได้ในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1218 ยุติการเผชิญหน้ากันระหว่างกัสติยากับเลออน[29]

ในปี ค.ศ. 1222 เบเรงเกลายื่นมือเข้ามาก้าวก่ายเพื่อพระโอรสอีกครั้ง ทรงประสบความสำเร็จในการทำสัตยาบันในการประชุมที่ซาฟรา ซึ่งบรรลุข้อตกลงในการสงบศึกกับพวกลาราด้วยการให้มาฟัลดา บุตรสาวและทายาทของลอร์ดแห่งโมลินา กอนซาโล เปเรซ เด ลารา แต่งงานกับอัลฟอนโซ พระโอรสของพระองค์และพระอนุชาของพระเจ้าเฟร์นันโด[30] ในปี ค.ศ. 1224 พระองค์ให้พระธิดา เบเรงเกลา แต่งงานกับจอห์นแห่งบรีแยน กลยุทธ์ที่ทำให้พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 เข้าใกล้บัลลังก์เลออนมากขึ้น เนื่องจากจอห์นเป็นตัวเลือกในใจที่พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 อยากให้แต่งงานกับพระธิดาคนโต ซันชา[31] เบเรงเกลาจึงขัดขวางไม่ให้พระธิดาของอดีตพระสวามีแต่งงานกับชายที่สามารถอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์เลออนได้[31]

การก้าวก่ายเพื่อพระโอรสครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1230 เมื่ออัลฟอนโซสิ้นพระชนม์โดยประกาศชื่อให้พระธิดา ซันชาและดุลเซ พระธิดาจากการแต่งงานครั้งแรกกับตึเรซาแห่งโปรตุเกสเป็นทายาท แทนที่จะยกสิทธิ์ให้กับพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3[32][33] เบเรงเกลาไปพบกับมารดาของเจ้าหญิงทั้งสองและประสบความสำเร็จในการทำสนธิสัญญาลัสเตร์เซริอัส ที่สองพี่น้องจะสละบัลลังก์ให้พระอนุชาต่างมารดาแลกกับเงินและผลประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย[33] ทำให้บัลลังก์แห่งกัสติยาและเลออนที่เคยถูกแบ่งออกจากกันในปี ค.ศ. 1157[8] โดยพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 กลับมารวมกับเป็นหนึ่งอีกครั้งในมือของพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3[33] เบเรงเกลาเข้าแทรกแซงอีกครั้งด้วยการจัดแจงให้เฟร์นันโดแต่งงานครั้งที่สองหลังการสิ้นพระชนม์ของเอลีซาเบ็ทแห่งโฮเอินชเตาเฟิน[34] แม้พระองค์จะมีพระโอรสธิดามากมายอยู่แล้ว แต่เบเรงเกลาเป็นกังวลว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายจะทำให้คุณสมบัติในการเป็นกษัตริย์ลดลง[34] ครั้งนี้พระองค์เลือกฌานแห่งดามาร์แต็ง ธิดาขุนนางชาวฝรั่งเศส ตัวเลือกที่พระมาตุจฉาของกษัตริย์และพระขนิษฐาของเบเรงเกลา บลังกา พระมเหสีม่ายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศสหามาให้[34] เบเรงเกลาทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอีกครั้ง ทรงปกครองในขณะที่พระโอรส เฟร์นันโด ลงใต้ไปทำการสู้รบเรกองกิสตาอันยาวนาน ทรงบริหารราชการกัสติยาและเลออนด้วยทักษะความสามารถที่พระองค์มี ทำให้พระโอรสไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอาณาจักร