เพนกวินอาเดลี
เพนกวินอาเดลี

เพนกวินอาเดลี

เพนกวินอาเดลี (อังกฤษ: Adélie penguin; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pygoscelis adeliae) เป็นนกประเภทเพนกวินชนิดหนึ่งโดยที่ชื่อ "อาเดลี" นั้นมาจากชื่อภรรยาของฌูล ดูว์มง ดูร์วีล (Jules Dumont d'Urville) นักสำรวจขั้วโลกใต้ชาวฝรั่งเศส เพนกวินอาเดลีเป็นเพนกวินขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 46-75 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 3.6-6 กิโลกรัม มีลักษณะเด่นคือ รอบดวงตามีวงกลมสีขาวคล้ายวงแหวน และมีขนหางที่ยาวกว่าเพนกวินชนิดอื่น ๆ [2][3]เพนกวินอาเดลี เป็นเพนกวินที่พบได้ทั่วไปในซีกโลกทางใต้ เช่น ขั้วโลกใต้, มหาสมุทรใต้ หรือทวีปแอนตาร์กติกา โดยอาศัยอยู่ร่วมกับเพนกวินจักรพรรดิ เพนกวินอาเดลีขยายพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของซีกโลกทางใต้ ลูกเพนกวินจะกำเนิดมาในช่วงนี้ และจะต้องเร่งให้โตทันก่อนที่จะถึงฤดูหนาว ที่ทั้งทวีปจะปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ซึ่งเป็นการยากมากที่จะหาอาหาร พ่อแม่นกจะเร่งออกทะเลไปหาอาหาร ซึ่งได้แก่ ปลาและหมึก เก็บไว้เป็นของเหลวในท้อง เพื่อกลับมาป้อนเป็นอาหารให้แก่ลูกนก เพนกวินอาเดลีมีไข่ได้ครั้งละ 2 ฟอง โดยจะฟักไข่และทำรังบนพื้นที่ไม่มีน้ำแข็งปกคลุม โดยพ่อนกจะเป็นฝ่ายกกไข่ ในช่วงที่เร่งให้ลูกเติบโต บางทีพ่อแม่นกอาจต้องไป-กลับทะเลวันละหลาย ๆ เที่ยว และบางครั้งอาจใช้เวลาออกหาอาหารนานหลายวัน ซึ่งพ่อแม่นกจะเลี้ยงลูกได้ดีที่สุดแค่เพียงตัวเดียวเท่านั้น[4]ลูกเพนกวินอาเดลีจะมีขนสีเทาตลอดทั้งตัว และเมื่อมีขนชุดสุดท้ายก่อนจะผลัดขนเป็นเหมือนนกวัยเจริญพันธุ์ มีจะมีกระจุกขนกลุ่มหนึ่งอยู่หลังหัว[4]เพนกวินอาเดลีอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงขนาดใหญ่แบบนิคมซึ่งมีจำนวนสมาชิกได้ถึงหลักแสนตัว เมื่อถึงฤดูหนาวที่น้ำแข็งจะปกคลุมทั้งทวีปแอนตาร์กติกา เพนกวินอาเดลีจะอพยพย้ายถิ่นอาศัยไปยังพื้นที่ที่มีอุณหภูมิอุ่นกว่า บางครั้งใช้วิธีการเดินทางด้วยการอาศัยบนก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยไปในท้องทะเลเป็นระยะเวลาหลายวัน[4] นอกจากนี้แล้วเพนกวินอาเดลีถือได้ว่าเป็นเพนกวินชนิดเดียวที่มีอุปนิสัยดุ โดยจะต่อสู้กับศัตรูผู้รุกราน เช่น นกทะเลชนิดต่าง ๆ เพื่อป้องกันตัวหรือลูก ๆ บางครั้งอย่างดุเดือด [5]เพนกวินอาเดลีได้ถูกบันทึกโดยจอร์จ เมอร์รีย์ เลวิก นักสำรวจชาวอังกฤษที่ได้เดินทางไปสำรวจขั้วโลกใต้ในปี ค.ศ. 1910 ที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของเพนกวินบริเวณอาเดลีแลนด์ ว่ามีพฤติกรรมทางเพศที่แปลกประหลาด โดยมีการผสมพันธุ์กันเองในหมู่นกเพศผู้ คล้ายกับพฤติกรรมรักร่วมเพศของมนุษย์ รวมถึงนกเพศผู้มีการผสมพันธุ์กับซากนกตัวเมียที่ตายไปนานหลายปีแล้วด้วย ซึ่งรายงานนี้เพิ่งได้รับการเผยเปิดเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012[6]