ประวัติ ของ เภสัชกรรมไทย

สมัยสุโขทัยและอยุธยา

การเยียวยารักษาโรคนั้นเกิดควบคู่กับชนชาติไทยมานานแล้ว ในสมัยสุโขทัย มีจารึกในสมัยพ่อขุนรามคำแหงหลักหนึ่งที่จารึกถึงการบำบัดรักษาโรคของคนไทยว่าใช้ยาสมุนไพร มีการปลูกสมุนไพรที่เขาหลวงและเรียกชื่อแพทย์ตามความชำนาญ อาทิ เนครแพทย์ โอสถแพทย์ โรคแพทย์ เป็นต้น

ครั้นต่อมาในสมัยอยุธยา อิทธิพลความคิดและวิวัฒนาการของชาวตะวันตกเริ่มเผยแพร่สู่ไทยมากขึ้น เคยมีบันทึกของลาลูแบร์ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ไว้ว่า "การแพทย์ของชาวสยามไม่นับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ หมอสยามไม่มีหลักการปรุงโอสถ ปรุงไปตามตำรับเท่านั้น และชาวสยามไม่รู้จักการศัลยกรรมและกายวิภาคศาสตร์ หมอสยามไม่มีหลักในการปรุงยา ได้แต่ปรุงไปตามตำราเท่านั้น หมอสยามไม่พยายามศึกษาสรรพคุณยาแต่ละชนิด นอกจากจะถือเอาตามตำราที่ปู่ยาตายายสอนต่อๆ กันมา โดยไม่มีการปรับปรุงอะไร"[1]

การรวมรวมองค์ความรู้ทางยาครั้งแรกเกิดขึ้นในรัชสมัยพระนารายณ์มหาราชในตำรับพระโอสถพระนารายณ์ ถือเป็นตำรายาไทยเล่มแรกและเป็นเภสัชตำรับฉบับแรกของประเทศไทย มีมาตราตวงยาเรียกว่า "ทะนาน" ตัวยาส่วนมากได้จากธรรมชาติ ทั้งนี้ การบำบัดรักษายังคงความเชื่อเรื่องบุญกรรมของพระพุทธศาสนา[2] ในสมัยอยุธยาได้มีหลักฐานว่ามีคลังยาหรือโรงพระโอสถในราชสำนักเกิดขึ้นแล้ว ส่วนประชาชนนิยมซื้อยาสมุนไพรบริเวณ "ย่านป่ายา" ในเขตริมกำแพงเมือง แม้ขณะนั้นมียาฝรั่งเข้ามาในประเทศไทยแล้ว แต่คนไทยก็ยังนิยมการใช้ยาสมุนไพรมากกว่า[3]

สมัยรัตนโกสินทร์

การแพทย์ของไทยในช่วงต้นของบบสมัยรัตนโกสินทร์ลลยังคงรูปแบบเดิมจากสมัยอยุธยาคือ การใช้สมุนไพรเป็นหลักและใช้ยาที่ถ่ายทอดองค์ความรู้จากปู่ยาตายาย ในสมัยบบพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้มีการแยกเภสัชกรรมออกจากเวชกรรมเป็นครั้งแรก โดยมีกรมหมอแยกกับกรมพระเครื่องต้น ซึ่งทำหน้าที่ปรุงยาตามฎีกา

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าจ้าอยู่หัว มิชชันนารีชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาเผยแพร่บทบาทในประเทศไทยมากขึ้น และได้นำความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาพร้อมๆกันด้วย หมอบลัดเลซึ่งเขามาในสมัยนั้น ได้เปิดร้านยาฝรั่งร้านแรกเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2378 ที่ตำบลวัดเกาะ[4] เริ่มมีการผ่าตัดพระสงฆ์เป็นครั้งแรกในกรุงสยามและการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการชำระคัมภีร์แพทย์และเรียบเรียงเป็นตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวง 10 คัมภีร์ นับเป็นตำรายาไทยเล่มที่ 4 หลังจากตำรับพระโอสถพระนารายณ์ จารึกยาวัดราชโอรส และจารึกยาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งตำรายาดังกล่าวยังใช้เป็นเกณฑ์ในการสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม แพทย์แผนไทย มาจนถึงปัจจุบัน

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดตั้งโรงพยาบาลศิริราชใน พ.ศ. 2431 และจัดตั้งโรงเรียนแพทยากรในปี พ.ศ. 2432 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนราชแพทยาลัย โดยนักเรียนแพทย์ต้องเรียนทั้งการบำบัดรักษาและการปรุงยาไปพร้อมๆกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 มีการจัดตั้งกองโอสถศาลาขึ้น สังกัดกระทรวงธรรมการ และผลิตยาโอสถศาลาหรือยาตำรับหลวงขึ้น ในปี พ.ศ. 2445 ซึ่งปัจจุบันพัฒนาไปเป็นยาสามัญประจำบ้านแล้ว ซึ่งตำรับยาดังกล่าวได้กระจายไปยังหัวเมืองต่างๆ เพื่อให้หัวเมืองมีทางเลือกในการบำบัดรักษาโรคมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยาโอสถศาลานับว่าเป็นายาสมัยใหม่ที่คนไทยไม่นิยมใช้ จึงยังคงผลิตยาแผนไทยโบราณโดยให้โอสถศาลาผลิต "ยาโอสถสภาแผนโบราณ" ออกจำหน่ายทั้งสิ้น 10 ขนาน[5]

เภสัชกรรมในแบบตะวันตก

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระบิดาแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมไทย

การศึกษาเภสัชกรรมแบบตะวันตกหรือเภสัชกรรมแผนปัจจุบันในประเทศไทยนั้น สถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการในฐานะโรงเรียนแพทย์ปรุงยาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยดำริของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถต่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ผู้บัญชาการโรงเรียนราชแพทยาลัยในสมัยนั้น จนมีคำสั่งกระทรวงธรรมการเรื่องระเบียบการจัดนักเรียนแพทย์ผสมยา เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2456[6] จึงถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันสถาปนาวิชาชีพเภสัชกรรมในประเทศไทยและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทรเป็น "พระบิดาแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมไทย"[7][8]สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงเห็นความสำคัญของวิชาชีพเภสัชกรรม ดังที่ปรากฏตามพระดำรัสที่ประทานแก่นักศึกษารุ่นแรกดังใจความว่าว่า

ผู้ที่จะออกไปมีอาชีพแพทย์นั้นจะปรุงยาขายด้วยไม่ได้ แพทย์มีหน้าที่เฉพาะการตรวจรักษาพยาบาลคนไข้เท่านั้น ส่วนผู้ที่สำเร็จวิชาปรุงยาก็ออกไปประกอบอาชีพปรุงยาและขายยา จะไปตรวจรักษาคนไข้ไม่ได้อาชีพทั้งสองนี้เป็นอาชีพที่ใกล้ชิดกัน แบ่งกันรับผิดชอบตามแบบอย่างในประเทศตะวันตกเขา...

[9]

คำสั่งของกระทรวงธรรมการให้เภสัชกรรมเป็นแผนกแพทย์ปรุงยาในโรงเรียนราชแพทยาลัย (ปัจจุบันคือคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) จัดหลักสูตรการศึกษา 3 ปี เมื่อจบการศึกษาจะได้รับประกาศนียบัตรจากกระทรวงธรรมการ มีศักดิ์และสิทธิ์ในการปรุงยา และเปิดรับนักเรียนครั้งแรกในวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2457[10] แต่อย่างไรก็ดี การศึกษาเภสัชศาสตร์ไม่เป็นที่สนใจของประชาชนนัก เนื่องจากประชาชนส่วนมากยังใช้ยาแผนโบราณและยังไม่มีกฎหมายควบคุมเรื่องการจำหน่ายยาในขณะนั้น ต่อมาได้มีการควบคุมการประกอบโรคศิลปะทางด้านเภสัชกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นในพระราชบัญญัติการแพทย์ พ.ศ. 2466 ซึ่งควบคุมเฉพาะการปรุงยา ไม่ครอบคลุมถึงการโฆษณา การจำหน่าย อันก่อให้เกิดปัญหาในสังคมตามมาอีกมาก[3]

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการก่อตั้งเภสัชกรรมสมาคมแห่งกรุงสยาม เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2472 โดยเป็นที่พบปะของเภสัชกรในสมัยนั้น ณ บ้านชุมแสง บ้านของพระมนตรีพจนกิจ (หม่อมราชวงศ์ชาย ชุมแสง) อาจารย์ประจำวิชาเภสัชพฤกษศาสตร์[11] ต่อมาในปี พ.ศ. 2477 พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2477 กำหนดให้การศึกษาเภสัชศาสตร์อยู่ภายใต้การดำเนินการของแผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์[3]

ในปี พ.ศ. 2479 ได้มีการประกาศพระราชบัญญิตควบคุมการขายยา พ.ศ. 2479[12] ซึ่งมอบอำนาจและหน้าที่การบริการเรื่องยาแก่เภสัชกร และมีการประกาศพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 ซึ่งกำหนดบทบาทของเภสัชกรด้านการปรุงยา[13] ครั้นในปีต่อมา เภสัชกร ดร. ตั้ว ลพานุกรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ในขณะนั้น ได้ริเริ่มการก่อตั้งโรงงานเภสัชกรรม (ต่อมาคือองค์การเภสัชกรรม) และจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเภสัชศาสตร์สู่ระดับปริญญาบัณฑิต[3]

ในปี พ.ศ. 2502 อุตสาหกรรมยาในประเทศไทยพัฒนาขึ้น เมื่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 มีการประกาศพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน รวบรวมไว้ซึ่งการสนับสนุนลงทุนอุตสาหกรรมยาทดแทนการนำเข้า และส่งเสริมบรรษัทข้ามชาติมาตั้งโรงงานผลิตยาอีกด้วย

อย่างไรก็ดี การศึกษาทางด้านเภสัชศาสตร์ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของประชาชนมากนัก จนกระทั่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการขาดแคลนยาในประเทศเนื่องจากไม่สามารถนำเข้ายาจากต่างประเทศได้ และโรงงานเภสัชกรรมในขณะนั้นก็ยังไม่มีความเชี่ยวชาญมากนัก อีกทั้งเภสัชกรทั้งประเทศมีจำนวนไม่มาก จึงทำให้ศาสตร์ด้านนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนมากขึ้น และมีการจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์เพิ่มเติม ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยมหิดลขึ้นตามลำดับ[14]

ในปี พ.ศ. 2555 มีผู้ขึ้นทะเบียนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมเกินเลขที่ 30,000 [15]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เภสัชกรรมไทย http://161.200.184.9/new_from.htm/%E0%B8%9B%E0%B8%... http://writer.dek-d.com/ubyi/story/viewlongc.php?i... http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cac... http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?t=5... http://www.thaipharma.net/index.php?lay=show&ac=ar... http://pharmacycouncil.org/ http://ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/148... http://www.pharm.chula.ac.th/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0... http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/aboutus.php http://oldweb.pharm.su.ac.th/thai/AboutUs/aboutus_...