ประวัติการปฏิบัติการ ของ เรือประจัญบานบิสมาร์ค

เรือประจัญบานบิสมาร์คในอู่ในฮัมบวร์ค

วันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1940 สามสัปดาห์หลังเข้าประจำการ เรือบิสมาร์คออกจากฮัมบวร์คเพื่อเริ่มแล่นเรือทดสอบในอ่าวคีล (Kiel) [21] เรือซแพร์เบร็คเคอร์ (Sperrbrecher) 13 ได้ทำหน้าที่คุ้มกันเรือเดินทางไปแหลมอาร์โคนา (Cape Arkona) ในวันที่ 28 กันยายน แล้วจึงไปถึงเมืองโกเทินฮาเฟิน (Gotenhafen) เพื่อแล่นเรือทดสอบในอ่าวดันท์ซิช (Gulf of Danzig) [22] โรงไฟฟ้าของเรือได้รับการทดสอบอย่างละเอียด มีการปรับการวัดไมล์ทะเลให้ถูกต้องแม่นยำ และการแล่นเรือความเร็วสูง ขณะที่ความเสถียรและการจัดการกลยุทธ์ที่เริ่มทดสอบ พบว่ามีข้อบกพร่องในการออกแบบ ขณะที่ความพยายามที่จะคัดท้ายเรือด้วยคนเพียงลำพังด้วยการพัฒนาปรับเปลี่ยนการพัฒนาใบจักรเรือ ลูกเรือเรียนรู้ว่าการปฏิบัตินั้นด้วยตัวคนเดียวปฏิบัติยากมาก แม้ว่า สกรูท้ายเรือจะทำงานเต็มกำลังในทิศตรงข้าม แต่ก็เพิ่มความสามารถในการเลี้ยวเพียงเล็กน้อย[23] หมู่ปืนเรือหลักทำการทดสอบยิงครั้งแรกปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจากการทดสอบพบว่าเรือเป็นแท่นปืนใหญ่ที่มีความเสถียรมาก[24] เรือได้แล่นทดสอบจนถึงเดือนธันวาคม บิสมาร์คได้เดินทางกลับไปถึงฮัมบวร์คในวันที่ 9 ธันวาคม สำหรับการปรับเปลี่ยนอีกเล็กน้อยและการติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นให้สมบูรณ์[21]

เรือบิสมาร์คมีแผนเดินทางกลับคีลในวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1941 แต่มีเรือสินค้าอับปางในคลองคีลส่งผลให้ใช้ทางน้ำไม่ได้ สภาพอากาศที่เลวร้ายได้ขัดขวางการกู้ซากเรือที่จมลง เรือบิสมาร์คจึงเดินทางกลับคีลไม่ได้จนกระทั่งเดือนมีนาคม[21] ความล่าช้าสร้างความผิดหวังให้แก่ลินเดอมันเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า "เรือบิสมาร์คติดอยู่ที่ฮัมบวร์คถึงห้าสัปดาห์... เวลาอันมีค่าที่จะล่องเรือในทะเลสูญเสียไปด้วยเหตุที่ไม่ได้ก่อขึ้น และเป็นความล่าช้าอย่างมีนัยยะในการเคลื่อนกำลังในขั้นสุดท้ายด้วยเหตุซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้"[25] ขณะที่รอให้เดินทางไปถึงคีล เรือบิสมาร์คเป็นที่รับรองเรือเอกแอนเดอร์ ฟอร์เชลล์ (Anders Forshell) ผู้ช่วยทูตกองทัพเรือสวีเดนไปยังเบอร์ลิน เขากลับไปยังสวีเดนพร้อมรายละเอียดลักษณะของเรือ และได้เผยความลับนี้กับอังกฤษ โดยทหารที่สนับสนุนอักฤษในกองทัพเรือสวีเดน ข้อมูลถูกจัดเตรียมไว้ให้ราชนาวีอังกฤษกับรายละเอียดแรกทั้งหมดของเรือ แม้ว่าจะขาดลักษณะจำเพาะที่สำคัญ ซึ่งประกอบด้วยความเร็วสูงสุด, ระยะทำการ, และระวางขับน้ำ[26]

เรือบิสมาร์คขณะแล่นทดสอบ ซึ่งจะเห็นว่ายังไม่มีกล้องวัดระยะเนื่องจากยังไม่ได้ทำการติดตั้ง

วันที่ 6 มีนาคม เรือบิสมาร์คได้รับคำสั่งแล่นเรือไปคีล โดยมีเครื่องบินรบเม็สเซอร์ชมิท เบเอ็ฟ 109 จำนวนหลายลำ และเรือสินค้าติดอาวุธจำนวน 2 ลำทำหน้าที่คุ้มกันระหว่างเส้นทาง พร้อมเรือตัดน้ำแข็ง เมื่อเวลา 08:45 น. วันที่ 8 มีนาคม เรือบิสมาร์คได้เกยตื้นที่ชายฝั่งด้านใต้ของคลองคีลเป็นเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะหลุดออกมาใต้ภายในหนึ่งชั่วโมง เรือเดินทางถึงคีลในวันถัดมา ลูกเรือได้ทำการกักตุนอาวุธยุทธภัณฑ์ เชื้อเพลิง และเสบียงอื่นๆ และดำเนินการพรางเรือด้วยลายพรางแบบแดซเซิล (dazzle paint) วันที่ 12 มีนาคม เครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษได้เข้าโจมตีท่าเรือแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ[27] วันที่ 17 มีนาคม เรือประจัญบานเก่า เรือหลวงชเลซีน (SMS Schlesien) ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงเป็นเรือตัดน้ำแข็ง คุ้มกันฝ่าน้ำแข็งไปถึงเมืองโกเทินฮาเฟิน เพื่อฝึกความพร้อมในการรบ[28]

กองบัญชาการใหญ่กองทัพเรือเยอรมัน (OKM) ซึ่งบัญชาการโดยพลเรือเอกเอริช เรเดอร์ มีเป้าหมายที่จะคงภารกิจที่ใช้เรือขนาดหนักโจมตีเส้นทางการค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแอตแลนติกต่อไป เรือประจัญบานชั้นชาร์นฮอสท์ (Scharnhorst) สองลำที่ประจำอยู่ที่เมืองแบร็สต์ (Brest) ประเทศฝรั่งเศส เป็นหัวหอกหลักในการโจมตีในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเวลานั้นปฏิบัติการเบอร์ลินเพิ่งจบลง เรือเทียร์พิตส์ซึ่งเรือพี่น้องของเรือบิสบาร์คถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว เรือบิสมาร์คและเรือเทียร์พิตส์เข้าโจมตีเข้าไปในเขตศัตรูจากทะเลบอลติกและนัดพบกับเรือชั้นชาร์นฮอสท์ทั้งสองลำในแอตแลนติก ปฏิบัติการมีแผนเริ่มดำเนินการประมาณวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1941 ในช่วงเดือนมืดซึ่งจะทำให้ปัจจัยแวดล้อมช่วยอำนวยประโยชน์[29]

การจัดสร้างและติดตั้งอุปกรณ์บนเรือเทียร์พิตส์เสร็จสมบูรณ์ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ อย่างไรก็ตามเรือยังคงไม่ขึ้นระวางจนกระทั่งวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และเรือยังไม่พร้อมเข้าทำการรบจนกระทั่งปลายปี ด้วยสถานการณ์ที่ซับซ้อน เรือประจัญบานกไนเซอเนา (Gneisenau) ได้รับความเสียหายจากตอร์ปิโดขณะอยู่ในแบร็สต์และจากระเบิดขณะอยู่ในอู่แห้ง เรือประจัญบานชาร์นฮอสท์ (Scharnhorst) ต้องการยกเครื่องหม้อไอน้ำเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการเบอร์ลิน ระหว่างการยกเครื่อง คนงานพบว่าหม้อไอน้ำมีสภาพเลวร้ายกว่าที่คาด เรือต้องถอนตัวจากแผนการโจมตี[30] การโจมตีของเครื่องบินทิ้งระเบิดที่คลังสรรพาวุธในคีลทำให้เกิดความล่าช้าในการซ่อมแซมเรือลาดตระเวนหนักพลเรือเอกเชียร์ (Scheer) และพลเรือเอกฮิพเพอร์ (Hipper) เรือทั้งสองไม่พร้อมที่จะปฏิบัติการไปจนถึงเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม[31] พลเรือเอกกึนเธอร์ ลึทเจนต์ นายทหารซึ่งได้รับเลือกเป็นผู้นำปฏิบัติการ ปรารถนาถ้ายืดเวลาปฏิบัติการออกไปอีกอย่างน้อยจนกว่าเรือชาร์นฮอสท์หรือเรือเทียร์พิตส์จะพร้อม[32] แต่กองบัญชาการสูงสุดกองทัพเรือตัดสินใจที่จะดำเนินการปฏิบัติการชื่อรหัส ปฏิบัติการไรน์อือบุง ต่อไป ซึ่งกองเรือประกอบด้วยบิสมาร์คและเรือลาดตระเวนหนักพรินซ์ออยเกิน (Prinz Eugen) เท่านั้น[30]

ปฏิบัติการไรน์อือบุง

ดูบทความหลักที่: ปฏิบัติการไรน์อือบุง
บิสมาร์ค ถ่ายภาพจาก พรินซ์ออยเกิน ในทะเลบอลติกขณะเริ่มปฏิบัติการไรน์อือบุง

5 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์และวิลเฮ็ล์ม ไคเทิลพร้อมคณะเข้าเยี่ยมชม บิสมาร์ค และ เทียร์พิทซ์ ที่เมืองโกเทินฮาเฟิน หลังการเยี่ยมชมฮิตเลอร์ได้เข้าประชุมกับลึทเจนต์เพื่อหารือถึงปฏิบัติการ[33] 16 พฤษภาคม ลึทเจนต์รายงานว่า บิสมาร์ค และ พรินซ์ออยเกิน พร้อมเต็มที่สำหรับปฏิบัติการไรน์อือบุง เขาจึงได้รับคำสั่งให้เริ่มปฏิบัติภารกิจในตอนเย็นของวันที่ 19 พฤษภาคม[34] ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิบัติงาน กลุ่มเรือลำเลียงสิบแปดลำจะถูกวางตำแหน่งเพื่อสนับสนุน บิสมาร์ค และ เทียร์พิทซ์ เรืออูสี่ลำถูกวางไว้ตามเส้นทางของขบวนระหว่างแฮลิแฟกซ์และสหราชอาณาจักรเพื่อสอดแนมสำหรับเตรียมการจู่โจม[35]

เมื่อเริ่มปฏิบัติการ บิสมาร์ค มีลูกเรือและทหาร 2,221 นาย ซึ่งรวมถึงพนังงานของพลเรือ 65 คนและลูกเรือที่นำส่งเรือเชลย 80 นาย สำหรับนำส่งเรือที่ถูกจับกุมระหว่างปฏิบัติการ เมื่อเวลา 02:00 วันที่ 19 พฤษภาคม บิสมาร์ค ออกจากโกเทินฮาเฟินไปยังช่องแคบเดนมาร์ก และเมื่อเวลา 11:25 ได้เข้าร่วมขบวนกับ พรินซ์ออยเกิน ซึ่งออกจากแหลมอาร์โคนา (Cape Arkona) เมื่อ 21:18 คืนก่อน[36] เรือทั้งสองได้รับการคุ้มกันโดยเรือพิฆาตสามลำ Z10 Hans Lody Z16 Friedrich Eckoldt และ Z23 และกองเรือกวาดทุ่นระเบิด[37] ลุฟท์วัฟเฟอจัดการคุ้มกันทางอากาศระหว่างเดินทางออกจากน่านน้ำเยอรมัน[38] ราวเที่ยงของวันที่ 20 พฤษภาคม ลินเดอมันแจ้งให้ลูกเรือทราบถึงภารกิจผ่านเครื่องกระจายเสียง ในเวลาใกล้เคียง กลุ่มของเครื่องบินลาดตระเวนทางอากาศของสวีเดนจำนวนสิบหรือสิบสองลำพบกองกำลังเยอรมันและได้รายงานการพบกองเรือ ขณะที่ฝ่ายเยอรมันกลับไม่ตรวจพบเครื่องบินของสวีเดน[39]

ชั่วโมงต่อมา กองเรือเยอรมันได้เผชิญหน้ากับเรือลาดตระเวนกอตแลนด์ (HSwMS Gotland) ของสวีเดน เรือกอตแลนด์ได้แล่นหลบหลีกกองเรือเยอรมันเป็นเวลาสองชั่วโมงในคัตเทกัต[40] กอตแลนด์ ส่งรายงานถึงกองบัญชาการกองทัพเรือว่า: "เรือใหญ่สองลำ เรือพิฆาตสามลำ เรือคุ้มกันห้าลำ และเครื่องบิน 10–12 ลำ ผ่านมาร์ชสตรานด์ (Marstrand) เส้นทาง 205°/20'"[38] กองบัญชาการใหญ่กองทัพเรือเยอรมันไม่กังวัลถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจาก กอตแลนด์ แม้ว่าทั้งลึทเจนต์และลินเดอมันเชื่อว่าปฏิบัติการจะไม่เป็นความลับอีกแล้ว[40] ในที่สุดรายงานก็เดินทางไปถึงกัปตันเฮนรี่ เดนแฮม (Henry Denham) ผู้ช่วยทูตกองทัพเรืออังกฤษประจำประเทศสวีเดน ผู้ส่งข้อมูลต่อไปยังกองทัพเรืออังกฤษ[41]

ยุทธนาวีช่องแคบเดนมาร์ก

ภาพเรือบิสมาร์คหลังจมเรือหลวงฮูด ในยุทธนาวีช่องแคบเดนมาร์ก
ดูบทความหลักที่: ยุทธนาวีช่องแคบเดนมาร์ก

ในวันที่ 24 พฤษภาคม 1941 เรือทั้ง 2 ลำ ถูกฝั่งอังกฤษตรวจจับได้ ขณะอยู่ในบริเวณสแกนดิเนเวียทำให้อังฤกษส่งเรือรบเรือประจัญบานลำใหม่ เรือหลวงปรินส์ออฟเวลส์ และเรือหลวงฮูดลำเก่า ออกไปดักโจมตีที่ช่องแคบเดนมาร์ก

เวลาประมาณ 05:30 น. ของวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม กองเรือเยอรมันได้เดินทางมาถึงช่องแคบเดนมาร์ก ไฮโดรโฟนของเรือพรินซ์ออยเกินตรวจพบเรือสองลำทางกราบซ้าย เวลา 05:45 น. เรือทั้งคู่ก็ปรากฏในระยะสายตาแต่ทางเยอรมันยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นข้าศึก ฝ่ายอังกฤษประกอบไปด้วยเรือประจัญบานลำใหม่ ปรินส์ออฟเวลส์และเรือหลวงฮูดลำเก่า ภายใต้การบัญชาการของพลเรือตรีลานเซลอต ฮอลแลนด์ (Lancelot Holland) เรือพรินซ์ออฟเวลส์นั้นเพื่อต่อเสร็จเมื่อเร็วๆนี้และยังเพิ่งเริ่มออกทะเล (ขณะเผชิญหน้ากับบิสมาร์คนั้นมีลูกเรือเพียง 100 นายบนเรือและอยู่ในสภาพไม่พร้อม) เรือฮูดเก่านั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเรือลาดตระเวนประจัญบานก่อนที่จะมีการปรับปรุงการป้องกันของเรือให้เป็นเรือประจัญบานแต่ยังคงมีเกราะดาดฟ้าที่ค่อนข้างอ่อนแอ เยอรมันไม่แปลกใจที่ได้พบกับเรือฝ่ายอังกฤษแต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรือหลวงของอังกฤษเลย

เมื่อเวลา 05.49 น. ฮอลแลนด์ได้รับคำสั่งให้ยิงตรงไปที่เรือข้าศึกที่แล่นนำหน้ามา พรินซ์ออยเกิน ด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นบิสมาร์ค[42] แต่โชคยังเป็นของอังกฤษ เมื่อผู้บังคับการเรือปรินส์ออฟเวลส์ได้สังเกตเห็นถึงความผิดพลาดและทำการเปลี่ยนเป้าหมาย ฮอลแลนด์ได้รับคำสั่งแก้ไขเป้าหมายแต่คำสั่งนั้นกลับไปไม่ถึงพลปืนของฮูดก่อนที่จะได้ยิงตับแรกออกไป ฮูดได้ยิงกระสุนนัดแรกในยุทธนาวีเมื่อเวลา 05.52 น.ในเวลารุ่งอรุณ และตามติดด้วยพรินซ์ออฟเวลส์ ระยะห่างจากเรือฝ่ายเยอรมันในตอนนั้นประมาณ 12.5 ไมล์ (20.1 กม.) การยิงตับแรกของฮูด กระสุนตกใกล้กับพรินซ์ออยเกิน ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยใกล้กับป้อมปืนท้าย[42]

นานกว่า 2 นาทีที่ไม่มีการยิงตอบโต้จากกองเรือเยอรมัน ก่อนที่ผู้บังคับการเรือ ลินเดอมันน์ (Lindemann) จะสั่งให้ยิงตอบโต้ไปยังเรือธงของอังกฤษ ซึ่งก็คือเรือฮูดโดยเยอรมันสามารถระบุบได้เมื่อกองเรือรบอังกฤษได้ทำการเปลี่ยนทิศทางไปยังเรือฮูดเมื่อเวลา 05.55 น. กลยุทธ์นี้จะใช้เมื่อเรือพยายามจัดวางตำแหน่งของตนเองให้อยู่ในโซนคุ้มกัน เมื่ออยู่ในโซนดังกล่าวแล้วเรือจะสามารถยิงมุมสูงได้ (ยิงทำลายดาดฟ้าเรือ) และการยิงตรงของเรือศัตรูจะไม่ค่อยได้ผล แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ฮูดก็ยังคงมีจุดอ่อนเล็กน้อยและการควบคุมการยิงของเยอรมันยังเหนือกว่านิดหน่อย นอกจากนี้ยังมีข้อเสียคือ ในระหว่างการแล่นเรือปืนใหญ่ 8 กระบอกจาก 18 กระบอกไม่สามารถยิงสนับสนุนได้[43]

อับปาง

การอับปางของเรือลำนี้เกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการไรน์อือบุง นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร วินสตัน เชอร์ชิล ออกคำสั่ง "จมเรือบิสมาร์ค" ซึ่งกระตุ้นให้ราชนาวีอังกฤษติดตามเรือบิสมาร์คไปอย่างไม่ลดละ และในระหว่างที่เรือกำลังกลับจากปฏิบัติการนี้ เวลา 09:02 นาฬิกา เครื่องบินรบอังกฤษได้ระดมยิงตอร์ปิโดจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่เรือเสียชีวิตกันมากมาย และหางเสือเรือทรงตัวไม่ได้ และเรือรบ 4 ลำของอังกฤษ ได้ยิงปืนใหญ่ถล่มเรือ Bismarck จนเรือเสียหายอย่างรุนแรง และในที่สุดเวลา 10:20 am เรือก็อับปางลง พร้อมชีวิตของเจ้าหน้าที่เรือ 2,200 ชีวิต มีเพียง 114 ชีวิตเท่านั้นที่รอดมาได้

ใกล้เคียง

เรือประจัญบานยามาโตะ เรือประจัญบานชั้นยามาโตะ เรือประจัญบานบิสมาร์ค เรือประจัญบานมูซาชิ เรือประจัญบานชั้นเซาท์ดาโคตา เรือประจัญบาน เรือประจัญบานชั้นมอนแทนา เรือประจัญบานชั้นไอโอวา เรือประจัญบานเทียร์พิทซ์ เรือประจัญบานมิกาซะ

แหล่งที่มา

WikiPedia: เรือประจัญบานบิสมาร์ค http://books.google.com/?id=bJBMBvyQ83EC http://www.hmshood.com/history/denmarkstrait/bisma... http://www.kbismarck.com/genedata.html http://www.kbismarck.com/operheini.html http://www.nytimes.com/2002/12/03/science/visiting... http://www.pbs.org/hood/history/battles.html http://www.sname.org/SNAME/SNAME/Libraries/ViewDoc... //tools.wmflabs.org/geohack/geohack.php?pagename=%... //www.worldcat.org/oclc/18121784 https://commons.wikimedia.org/wiki/Category:Bismar...