การออกปฏิบัติการ ของ เรือประจัญบานยามาโตะ

การทดสอบเรือและปฏิบัติการช่วงแรก

ระหว่างเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ค.ศ. 1941 ยะมะโตะได้ทำการทดสอบเรือในทะเล เรือสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 27.4 นอต (50.7 กม./ชม., 31.5 ไมล์/ชม.)[19][A 2] ด้วยเงาของสงครามได้เลือนลางอยู่เบื้องหน้า การก่อสร้างทางทหารจึงกลายเป็นความสำคัญอันดับแรกและถูกเร่งการสร้างให้เร็วขึ้น วันที่ 16 ธันวาคม หนึ่งเดือนก่อนกำหนดการ เรือได้ขึ้นระวางประจำการอย่างเป็นทางการที่คูเร (Kure) พิธีการมีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดกว่าปกติเพราะญี่ปุ่นยังคงต้องการปกปิดลักษณะของเรือเป็นความลับ[19] มีนาวาเอก (ภายหลังได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเรือโท) กีฮาชิ ทากายานางิ (Gihachi Takayanagi) เป็นผู้บังคับการเรือ เรือสังกัดกองพลเรือประจัญบานที่ 1 ร่วมกับเรือประจัญบานนากาโต้ (Nagato) และเรือประจัญบานมุสึ (Mutsu)[23]

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 ยะมะโตะได้ขึ้นเป็นเรือธงของกองเรือผสมของพลเรือเอกอิโซะโระกุ ยะมะโมะโตะ[19][22] ยะมะโมะโตะได้วางแผนรบขั้นเด็ดขาดกับกองทัพเรือสหรัฐที่หมู่เกาะมิดเวย์ ดังนั้นหลังเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจการรบเสมือนจริง ยะมะโตะได้ออกจากอ่าวฮิโระชิมะในวันที่ 27 พฤษภาคม เพื่อทำหน้าที่ในกลุ่มเรือประจัญบานหลักของยามาโมโต้[19][24] ยามาโมโต้ได้ใช้สะพานเดินเรือของเรือยะมะโตะป็นศูนย์สำหรับออกคำสั่งทั้งหมดในปฏิบัติการ[24] โดยแผนการรบของเขานั้นคือกระจายกองกำลังออกไปเพื่อลวงให้สหรัฐติดกับ แต่กลุ่มเรือประจัญบานกลับอยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสู้รบ[19] โชคร้ายที่ฝ่ายถอดรหัสของสหรัฐได้ล่วงรู้ถึงแผนที่แท้จริงของยะมะโมะโตะ ทำให้กองเรือบรรทุกอากาศยานของญี่ปุ่นประสบกับหายนะในยุทธนาวีมิดเวย์ กองเรือบรรทุกเครื่องบิน 4 กองและเครื่องบิน 332 ลำถูกทำลาย[19] ในวันที่ 5 มิถุนายน ยามาโมโต้ออกคำสั่งให้เรือรบที่เหลือหันกลับไปยังญี่ปุ่น ดังนั้นเรือยะมะโตะและกองเรือประจัญบานหลักจึงล่าถอยไปยังเกาะฮาชิราจิม่า (Hashirajima) ก่อนที่เรือจะเปลี่ยนเส้นทางกลับไปยังเมืองคุเระ[22][23]

ยะมะโตะออกเดินทางจากคุระไปยังทรูก (Truk) ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1942[25][A 3] หลังจาก 11 วันในทะเล เรือถูกพบเห็นโดยเรือดำน้ำสหรัฐ ยูเอสเอส ไฟล์อิง ฟิช (USS Flying Fish) เรือดำน้ำโจมตีเรือยะมะโตะด้วยตอร์ปิโด 4 ลูก แต่ไม่มีลูกไหนยิงโดนเรือ ยะมะโตะเดินทางถึงทรูกอย่างปลอดภัยหลังจากนั้น[22][25][A 4] เรือจอดอยู่ที่นี่ตลอดทั้งการทัพกัวดาลคาแนลเพราะอาวุธขนาด 460 มม. ไม่เหมาะสมสำหรับระดมยิงชายฝั่ง ความไม่คุ้นเคยกับทะเลรอบๆ กัวดาลคาแนล และการที่เรือมีปริมาณการบริโภคเชื้อเพลิงสูง[5][19] ก่อนสิ้นสุดปี นาวาเอก (ภายหลังได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเรือตรี) ชิอากิ มะสึดะ (Chiaki Matsuda) ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บังคับบัญชาเรือยะมะโตะ[25]

ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 เรือมูซาชิได้เป็นเรือธงของกองเรือผสมแทนที่เรือยะมะโตะ[19] เรือได้รับการขนานนามว่า "โรงแรมยะมะโตะ" โดยลูกเรือพิฆาตและเรือลาดตระเวนของญี่ปุ่นที่ประจำการในแปซิฟิกใต้[25] มีเพียงแค่วันเดียวเท่านั้นที่เรือไม่ได้จอดเทียบท่าที่ทรูกตั้งแต่ที่เรือเดินทางมาถึงในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1942 จนกระทั่งออกเดินทางในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1943[19][26] ในวันนั้น เรือตั้งเส้นทางเดินเรือไปยังเมืองโยโกซูกะและเดินทางต่อไปยังเมืองคุเระ โดยเดินทางไปถึงเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม[19][26] เรือใช้เวลา 9 วันในอู่แห้งเพื่อทำการตรวจสอบและซ่อมแซมทั่วไป[25] และหลังจากเดินเรือไปยังทะเลในทางตะวันตกของญี่ปุ่น เรือได้เข้าอู่แห้งอีกครั้งในปลายเดือนกรกฎาคมเพื่อซ่อมบำรุงและปรับปรุงเรือ ซึ่งประกอบไปด้วยการปรับปรุงเกราะของป้อมปืนรองและระบบควบคุมหางเสือ[25] และย้ายปืนกราบเรือขนาด 155 มม. ออกเปลี่ยนเป็นอาวุธต่อสู้อากาศยานที่ดีกว่า นั่นคือปืน 25 มม. และระบบเรดาร์ค้นหาสองระนาบ[19] ในวันที่ 16 สิงหาคม เรือยะมะโตะได้ออกเดินทางกลับไปยังทรูกเพื่อเข้าร่วมกองเรือเฉพาะกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีหน้าที่ต่อต้านการโจมตีของอเมริกาในเกาะทาราว่าและเกาะมาคิน (Makin)[25] เรือได้โจมตีฝ่าวงล้อมจากการสกัดกั้นของกองเรือเฉพาะกิจที่ 15 ของสหรัฐในปลายเดือนกันยายน ร่วมกับเรือนะกะโตะ (Nagato) เรือบรรทุกอากาศยาน 3 ลำ และเรือรบขนาดเล็ก และได้โจมตีฝ่าวงล้อมอีกครั้งในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง โดยร่วมกับเรือประจัญบาน 6 ลำ เรือบรรทุกอากาศยาน 3 ลำ และเรือลาดตระเวน 11 ลำ หน่วยข่าวกรองรายงานว่าฐานทัพเรือสหรัฐที่ท่าเรือเพิวร์ลแทบจะว่างเปล่า มีเรือเหลืออยู่เพียงไม่กี่ลำ[19] ญี่ปุ่นจึงเข้าใจว่ากองกำลังของอเมริกาจะเข้าโจมตีเกาะเวก[19] แต่เรดาร์ไม่มีการตรวจจับความเคลื่อนไหวได้เป็นเวลาถึงหกวัน กองเรือจึงเดินทางกลับไปยังทรูก โดยเดินทางถึงเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม[19]

ยะมะโตะได้ทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันในปฏิบัติการขนส่ง บีโอ-1 (Transport Operation BO-1) จากทรูกไปยังโยโกซูกะระหว่างวันที่ 12–17 ธันวาคม[26] ต่อมา เนื่องจากความจุของเรือที่มีความจุมากและเกราะที่หนา ทำให้ยะมะโตะและมูซาชิจำต้องทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งแทน[27] วันที่ 25 ธันวาคม ขณะที่ทำการขนส่งทหารและยุทธภัณฑ์โยโกซูกะไปทรูก เพื่อเป็นกำลังเสริมแก่กองทหารรักษาการณ์ที่เมืองคาเวียง (Kavieng) และหมู่เกาะแอดมิแรลที (Admiralty Islands) ยะมะโตะและกองเรือถูกสกัดกั้นโดยเรือดำน้ำอเมริกัน สเก็ต ขณะออกทะเลมาได้ประมาณ 290 กม. (180 ไมล์)[19][28] สเก็ตยิงตอร์ปิโดสี่ลูกไปยังยะมะโตะ โดยยิงแบบแผ่กว้าง มีลูกหนึ่งยิงโดนเรือประจัญบานที่กราบขวาค่อนไปยังท้ายเรือ[19] ทำให้เกิดรูวัดจากส่วนบนของเกราะต่อต้านตอร์ปิโด (anti-torpedo bulge) ลงมา 5 เมตร (16 ฟุต) และเกิดรอยฉีกที่ตัวเรือวัดได้ 25 เมตร (82 ฟุต) และรอยเชื่อมระหว่างเกราะข้างด้านบนและเกราะข้างด้านล่างแตกทำให้ห้องเก็บกระสุนด้านบนของป้อมปืนด้านหลังเกิดน้ำท่วม[8] มีน้ำท่วมเข้าในยะมะโตะถึง 3,000 ตัน[8][28] แต่ก็สามารถเดินทางไปถึงทรูกได้หลังจากวันนั้น การซ่อมแซมชั่วคราวบนเรือประจัญบานของเรือซ่อมบำรุงอากาชิ (Akashi) นั้นส่งผลอย่างมาก[25] ยะมะโตะออกเดินทางจากทรูกได้ในวันที่ 10 มกราคม[28]

ภาพวาดของยะมะโตะตามที่ปรากฏในปี ค.ศ. 1944–1945 (โดยเฉพาะโครงร่างภายนอกจากวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1945)

การถูกโจมตี

สงครามในทะเลซิบูยัน 24 ตุลาคม พ.ศ. 2487 เรือยะมะโตะถูกโจมตีในทะเลซิบูยัน ได้รับความเสียหายเล็กน้อย

เรือประจัญบานยะมะโตะ เคยถูกฝูงบินโจมตีของสหรัฐฯ เข้าโจมตี เมื่อ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2486 ในระหว่างการเดินทางไปเกาะนิวบริเตน โดยได้บรรทุกทหารบก จำนวน 1,000 นายไปด้วย เพื่อไปส่งที่ฐานทัพราบาวบนเกาะนิวบริเตน ต่อมาเมื่อเดินทางออกจากฐานทัพเรือหน้าวงปะการังตรุกในหมู่เกาะคาโรไลน์ ได้ถูกเรือดำน้ำ สเคท (SS-305) ยิงด้วยตอร์ปิโดถูกที่บริเวณยุ้งโซ่สมอ ทำให้ทหารที่กำลังเรียงโซ่สมอเสียชีวิตไป 6 นาย แต่เรือไม่ได้รับความเสียหาย ยังสามารถทำความเร็วได้ถึง 27 นอต เป็นปกติ นับเป็นครั้งแรกที่ถูกโจมตีจากเรือดำน้ำสหรัฐฯ และในยุทธการ "โช" ขณะเดินทางผ่านทะเลซิบูยันร่วมกับเรือมุซาชิ ในกำลังรบส่วนกลาง ก็ถูกเครื่องบินจากกำลังรบที่ 38 ของสหรัฐ ฯ โจมตีเมื่อ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2487 เรือยะมะโตะได้รับความเสียหายเล็กน้อย

ผลงานการทำลายเรือรบของสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2487 ในยุทธการ "โช" (ชัยชนะ) ระหว่างการเดินทางไปเพื่อเข้าทำลายเรือลำเลียงและกำลังรบของ สหรัฐ ฯ ที่ยกพลขึ้นบกที่เกาะเลย์เต ก็ได้ปะทะกับกำลังรบของสหรัฐ ฯ ซึ่งเป็นหมวดเรือบรร ทุกเครื่องบินคุ้มกัน (TG 77.4) ที่บริเวณนอกเกาะ ซามาร์ และเป็นครั้งแรกที่เรือประจัญบาน ยะมะโตะได้ใช้ปืนใหญ่ ขนาด 460 มิลลิเมตร ทำการยิงเรือพิฆาต โฮเอล (DD-533) ของ สหรัฐ ฯ ในระยะยิง 33,000 เมตร จนจมและทำความเสียหายแก่เรือพิฆาต จอนห์ส์ตัน (DD-557) จนต้องถอนตัวออกจากการรบ (แล้วถูกเรือลาดตระเวนและเรือพิฆาตญี่ปุ่น โจมตีจนจม) นอกจากนี้ยังทำความเสียหายแก่เรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มกัน แกมเบียร์ เบย์ (CVE-73) จนไม่ สามารถใช้ดาดฟ้าบินได้ (แล้วถูกเรือลาดตระเวนญี่ปุ่นยิงจมเช่นกัน)

ยุทธนาวีทะเลฟิลิปปินส์

ดูบทความหลักที่: ยุทธนาวีทะเลฟิลิปปินส์

ต้นเดือนมิถุนายนเรือยะมะโตะและเรือมูซาชิได้รับคำร้องให้ทำการขนส่งกองทหารอีกครั้ง เพื่อเสริมกำลังให้กับกองทหารรักษาการณ์และกองกำลังป้องกันทางเรือของเกาะในเบียค (Biak) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการคง (Operation Kon)[27][29] ปฏิบัติการถูกยกเลิกเมือข่าวเรือบรรทุกอากาศยานของสหรัฐอเมริกาเข้าโจมตีหมู่เกาะมาเรียนามาถึงกองบัญชาการของโอะซะวะ[27]

ยุทธนาวีอ่าวเลย์เต

ดูบทความหลักที่: ยุทธนาวีอ่าวเลย์เต

หลังจากวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2487 ผ่านไป ญี่ปุ่นสูญเสีย เรือประจัญบาน 3 ลำ เรือบรรทุกเครื่องบิน 4 ลำ เรือลาดตระเวน 9 ลำและเรือพิฆาต 8 ลำ รวมทั้งหมด 24 ลำ ส่วนเรือที่รอดมุ่งออกจากเลเตสู่ทะเลฟิลิบปินส์ซึ่งในวันที่ 25 ตุลาคม กำลังหลักที่ออกสู่ทะเลฟิลิปปินส์พบกองกำลังเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐ ซึ่งเป็นหมวดเรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มกัน ในครั้งนี้เรือประจัญบานยะมะโตะได้ใช้กระสุนของป้อมปืนใหญ่ ซึ่งมีขนาดน้ำหนักเกือบ 2 ตันซึ่งใช้ยิง 6 กระบอกป้อมละ 3 กระบอกรวม 6 กระบอกยิงใส่เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐจนจม หลังจากสหรัฐยึดครองฟิลิบปินส์เรือประจัญบานยะมะโตะเดินทางกลับไปยังญี่ปุ่นเพื่อซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย

การออกรบที่โอกินาว่า

วาระสุดท้ายของเรือประจัญบานยะมะโตะ

ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2488 กองทัพสหรัฐมีการพิจารณาให้ใช้เรือทั้งหมด 10 ลำเข้าบุกเกาะโอกินาว่า เรือยะมะโตะได้รับคำสั่งจากกองทัพญี่ปุ่นให้เข้าปฏิบัติการที่เรียกว่า KIKUSUI โดยมีภารกิจให้ทำการล่อฝูงบินอเมริกันให้ออกจากน่านน้ำโอกินาวา เปิดโอกาสให้ฝูงบินคามิคาเซ่ของญี่ปุ่นบินฝ่าด่านป้องกันของฝูงบินอเมริกา เพื่อเข้าโจมตีกองทัพเรือและปกป้องไม่ให้กองทัพสหรัฐยึดเกาะโอกินาวาได้ แต่ในปฏิบัติการนี้เรือยะมะโตะมีน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่เที่ยวเดียวเท่านั้น เรือประจัญบานยะมะโตะและเรือลำอื่นถูกตรวจพบในเวลาหลังเริ่มปฏิบัติการ 12.35 นาที จึงถูกเครื่องบินสหรัฐ 3 หน่วยกิจเข้าโจมตีซึ่งแต่ละหน่วยกิจมีเครื่องบินหน่วยละ 360 ลำต่อหน่วย เรือประจัญบานยะมะโตะโดนโจมตีทางอากาศอย่างหนักตั้งแต่ 12.35 น. - 14.23 น. จนทำความเสียหายแก่เรือมากดังนั้นเรือจึงเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง จากการตรวจสอบ เรือประจัญบานยะมะโตะถูกตอร์ปิโดทั้งหมด 13 ลูก ลูกระเบิดขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาด 250กก. - 500กก. ทั้งหมด 6 ลูก ลูกระเบิดขนาดกลางอีกมากกว่า 100 ลูก และลูกระเบิดขนาดเล็กอีกมากกว่า 120 ลูก

เรือประจัญบานยะมะโตะลำเดียว มีกำลังพลทั้งสิ้น 3,332 นาย ได้รับการช่วยเหลือจากเรือพิฆาตเพียง 276 นาย อีก 3,056 นาย เสียชีวิต และสูญหาย

มีเรือพิฆาตสึซึสึกิ ฟุยุสึกิ ยุคิคาเซะ และ ฮัดสึชิโมะ เพียง 4 ลำเท่านั้น ที่ได้เห็นวาระสุดท้าย ของเรือประจัญบานยะมะโตะ และรอดกลับมาได้ทุกลำ มีเรือพิฆาตสึซึสึกิ ได้รับความเสียหายหนัก ถูกลูกระเบิดขนาด 500 กิโลกรัมที่หัวเรือ ทำให้ส่วนหัวเรือ หน้าสะพานเดินเรือขาดหายไป จึงต้องแล่นถอยหลังกลับถึงฐานทัพซาเซโบ้ได้

ปฏิบัติการเท็งโง

ดูบทความหลักที่: ปฏิบัติการเท็งโง
ยะมะโตะภายใต้การโจมตีนอกฝั่งของคุระ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1945นายทหารอาวุโสในเรือยะมะโตะก่อนปฏิบัติการเท็งโง

เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1945 เรือยะมะโตะ ฮารูนะ (Haruna) และ นางาโต้ (Nagato) ได้โอนย้ายไปยังกองพลเรือประจัญบานที่ 1 ซึ่งได้รับการจัดตั้งใหม่อีกครั้ง ยะมะโตะออกจากอู่แห้งสองวันหลังจากนั้นเพื่อแล่นไปทะเลในของญี่ปุ่น[25] การโอนย้ายนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ กองพลเรือประจัญบานที่ 1 ถูกยุบหน่วยอีกครั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ และยะมะโตะถูกแบ่งไปสังกัดกองพลเรือบรรทุกอากาศยานที่ 1[30] ในวันที่ 19 มีนาคม เครื่องบินอเมริกันจากเรือบรรทุกอากาศยานเอนเทอร์ไพรซ์ (Enterprise) ยอร์คทาวน์ (Yorktown) และอินเทรพพิด (Intrepid) เข้าโจมตีคุเระ[30][31] แม้ว่าจะมีเรือรบเสียหายถึง 16 ลำ แต่ยะมะโตะกลับได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากระเบิดด้านและระเบิดลูกหนึ่งที่ทิ้งโดนสะพานเดินเรือ[32] การแทรกแซงของฝูงบินขับไล่คะวะนิชิ เอ็น1เค1 "ชิเด็น" (Kawanishi N1K1 "Shiden", หรือที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกว่า "จอร์จ (George)") ที่บินโดยครูฝึกบินเครื่องขับไล่ที่มากประสบการณ์ช่วยป้องกันการโจมตีดังกล่าว ทำให้ฐานทัพและเรือที่จอดทอดสมออยู่ไม่ได้รับความเสียหายร้ายแรง[31][A 5] ขณะการซ้อมรบที่ช่องแคบนะซะมิ (Nasami) ของเรือยะมะโตะก็ได้แสดงผลออกมา[32]

ฝ่ายสัมพันธมิตรได้บุกโอะกินะวะในวันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนเริ่มแผนโจมตีแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่น[33] กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ตอบโต้โดยการจัดตั้งภารกิจชื่อรหัสปฏิบัติการเท็งโงซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองกำลังเรือผิวน้ำของญี่ปุ่นที่เหลืออยู่ ยะมะโตะและเรือคุ้มกันอีกเก้าลำ (เรือลาดตระเวนยะฮะงิ และเรือพิฆาตอีก 8 ลำ) เดินเรือสู่โอะกินะวะเพื่อโจมตีกองกำลังสัมพันธมิตรที่รวมตัวกันบนเกาะและรอบเกาะโอะกินะวะและกำลังสู้พัวพันกับ กามิกาเซ่ และหน่วยทหารของฐานทัพบนโอะกินะวะ ยะมะโตะจะเข้าเกยหาดและทำหน้าที่เสมือนเป็นป้อมปืนใหญ่ชายฝั่งและต่อสู้จนกระทั่งเรือถูกทำลาย[34][35] ในการเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจ ยะมะโตะได้รับบรรจุอาวุธเต็มอัตราในวันที่ 29 มีนาคม[25] ตามแผนของญี่ปุ่น เรือจะได้รับการเติมเชื้อเพลิงสำหรับการเดินทางเที่ยวเดียวเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว เรือได้รับเชื้อเพลิงถึงร้อยละ 60 ของความจุด้วยคำสั่งของผู้บังคับบัญชาฐานทัพ ภายใต้ชื่อ "กองกำลังจู่โจมพิเศษเรือผิวน้ำ (Surface Special Attack Force)" กองเรือได้ออกจากเมืองโทะกุยะมะ (Tokuyama) เมื่อเวลา 15:20 ในวันที่ 6 เมษายน[34][35]

แต่น่าเสียดาย สัมพันธมิตรดักฟังและถอดรหัสสัญญาณวิทยุของญี่ปุ่นได้ ทำให้ทราบถึงรายละเอียดของปฏิบัติการเท็งโง นอกจากนี้ เมื่อเวลา 20:00 น. เรือดำน้ำฝ่ายสหรัฐ ยูเอสเอส เทรดฟิน (USS Threadfin) และ ยูเอสเอส แฮกเคิลแบ็ก (USS Hackleback) พบเห็นกองกำลังจู่โจมพิเศษเรือผิวน้ำเดินเรือผ่านช่องแคบบังโงะ (Bungo Suido) เป็นการยืนยันถึงเจตนารมณ์ของญี่ปุ่น เรือดำน้ำทั้งสองรายงานตำแหน่งของยะมะโตะต่อกองกำลังจู่โจมเรือบรรทุกอากาศยานของอเมริกาทราบ[5][35] แต่เรือทั้งสองก็ไม่สามารถโจมตีได้เพราะความเร็วกองเรืออยู่ที่ 22 นอต (41 กม./ชม.) และเดินเรือเป็นรูปฟันปลา[35]

กองกำลังสัมพันธมิตรรอบโอะกินะวะเริ่มรวมตัวเพื่อโจมตี พลเรือเอก เรย์มอนด์ สพรัวนซ์ (Raymond Spruance) สั่งให้เรือประจัญบาน 6 ลำที่กำลังระดมยิงชายฝั่งเตรียมพร้อมสำหรับการปะทะกับเรือยะมะโตะ แต่คำสั่งนี้ถูกยกเลิกเพราะเห็นด้วยกับการโจมตีทางอากาศจากเรือบรรทุกอากาศยานของพลเรือเอก มาร์ก มิตส์เชอร์ (Marc Mitscher) แต่เพื่อความมั่นใจ เรือประจัญบาน เรือลาดตระเวน 7 ลำ และเรือพิฆาต 21 ลำถูกส่งไปยับยั้งกองเรือญี่ปุ่นก่อนที่กองเรือจะสามารถเข้าถึงเรือขนส่งและเรือยกพลขึ้นบกซึ่งถูกทำลายได้ง่าย[35][A 6]

ยะมะโตะคัดท้ายเลี้ยวหลบระเบิดและตอร์ปิโดระหว่างปฏิบัติการเท็งโง

ลูกเรือยะมะโตะเข้าประจำสถานีรบและพร้อมสำหรับการต่อต้านอากาศยานเมื่อรุ่งเช้าวันที่ 7 เมษายน เครื่องบินของสัมพันธมิตรพบเห็นกองกำลังจู่โจมพิเศษเรือผิวน้ำเมื่อเวลา 08.23 น. เรือบินสองลำเดินทางมาถึงทันทีหลังจากนั้น อีกห้าชั่วโมงต่อมายะมะโตะยิงกระสุนร่วมแบบ 3 หรือกระสุนรวมแบบรวงผึ้ง (3 Shiki tsûjôdan, 3 ชิกิ สึโงดัน) ไปที่เรือบิน แต่ก็ไม่สามารถป้องกันการสอดแนมได้ เรดาร์ของยะมะโตะจับสัญญาณของเครื่องบินได้เมื่อเวลา 10.00 น. หนึ่งชั่วโมงต่อมาฝูงเครื่องบินขับไล่ เอฟ6เอฟ เฮลแคท (F6F Hellcat) ของอเมริกันก็ปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าเพื่อต่อสู้กับเครื่องบินญี่ปุ่นที่อาจปรากฏขึ้น แต่กลับไม่พบ[36][A 7]

เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. เครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินทิ้งระเบิดตอร์ปิโดจำนวน 280 ลำเดินทางมาถึงกองเรือญี่ปุ่น เรือพิฆาตอะซะชิโมะ (Asashimo) ต้องออกจากรูปขบวนไปก่อนเพราะเกิดปัญหาเครื่องยนต์ และถูกโจมตีจนอับปางโดยหน่วยบินของเรือยูเอสเอส แซนจาซินโท (USS San Jacinto) กองกำลังจู่โจมพิเศษเรือผิวน้ำเพิ่มความเร็วเป็น 24 นอต (44 กม./ชม.) และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันเพื่อต่อต้านอากาศยานของญี่ปุ่น คือเรือพิฆาตตั้งขบวนล้อมเรือยะมะโตะ เครื่องบินเริ่มโจมตีระลอกแรกเมื่อเวลา 12.37 น. เรือยะฮะงิเลี้ยวกลับและเพิ่มความเร็วเป็น 35 นอต (64.8 กม./ชม.) เพื่อพยายามดึงเครื่องบินที่โจมตีให้ไล่ตาม แม้กลยุทธ์นี้จะประสบความสำเร็จแต่เครื่องบินที่ติดตามไปนั้นมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ยะมะโตะหลบการโจมตีได้ถึง 4 นาทีจนกระทั่งเวลา 12:41 น. เครื่องบินทิ้งระเบิดสองเครื่องได้ทำลายแท่นปืนต่อต้านอากาศยานปากกระบอกแฝดสามขนาด 25 มม. สองแท่นและสร้างรูขึ้นบนดาดฟ้าเรือ เครื่องบินทิ้งระเบิดลำที่สามได้ทำลายห้องเรดาห์และแท่นปืน 127 มม. ที่กราบขวาด้านท้ายของเรือ เมื่อเวลา 12.46 น. เครื่องบินทิ้งระเบิดอีกสองลำได้โจมตีด้านกราบซ้ายของเรือ เกิดความเสียหายเล็กน้อยบริเวณด้านหน้าป้อมปืนขนาด 155 มม. ที่ติดตั้งตรงกลางท้ายเรือ และบริเวณด้านบนของป้อมปืนขวาด้านท้ายเรือ เหตุเหล่านี้ ได้สร้างความเสียหายต่อป้อมปืนและห้องเก็บกระสุนเป็นอันมาก มีลูกเรือเพียงคนเดียวที่ปีนหนีออกมาได้[36][A 8] เมื่อเวลา 12:45 มีตอร์ปิโดหนึ่งลูกโจมตีโดนยะมะโตะเข้าที่ด้านหน้ากราบซ้ายของเรือ ส่งผลให้เกิดแรงกระแทกที่รุนแรงตลอดทั้งเรือ แต่เพราะผู้รอดชีวิตจากการโจมตี ภายหลังกลับเสียชีวิตจากยิงกราดจากเครื่องบินและติดอยู่ภายในเรือเมื่อยะมะโตะอับปาง ทำให้รายละเอียดไม่มีความแน่นอน แต่ผู้แต่งการ์ซคีและดับบลินบันทึกว่าเป็นความเสียหายเพียงเล็กน้อย[36] หลังจากนั้นไม่นาน มีตอร์ปิโดอีกสามลูกยิงโดนยะมะโตะ มีสองลูกยิงเข้าที่กราบซ้ายใกล้ห้องเครื่องยนต์ และหนึ่งลูกที่ห้องหม้อน้ำที่ได้รับการยืนยัน ตอร์ปิโดลูกที่สามนั้นยังคงเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ แต่การ์ซคีและดับบลินพิจารณาว่าอาจเป็นไปได้ เพราะมันจึงอธิบายถึงรายงานน้ำท่วมห้องหางเสือช่วยของยะมะโตะได้ การโจมตีสิ้นสุดลงในเวลาประมาณ 12:47 น. เรือเอียงถาวร 5–6° ไปทางกราบซ้าย มีการต่อต้านน้ำท่วม ปล่อยน้ำท่วมห้องอย่างจงใจในอีกด้านของเรือ ทำให้ลดการเอียงได้ 1° ห้องหม้อน้ำหนึ่งห้องใช้การไม่ได้ ส่งผลให้ความเร็วสูงสุดของยะมะโตะลดลงเล็กน้อย และการยิงกราดจากเครื่องบินทำให้พลปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 25 มม. จำนวนมากบาดเจ็บล้มตายไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ทำให้ลดทอนประสิทธิผลลง[36]

รูปยะมะโตะระหว่างยุทธนาวี ถ่ายโดยเครื่องบินจาก ยูเอสเอส ยอร์กทาวน์ (USS Yorktown) เรือประจัญบานเกิดไฟไหม้และมองเห็นว่าเรือเอียงทางกราบซ้าย

การโจมตีระลอกที่สองเริ่มขึ้นก่อนเวลา 13:00 น. ในการโจมตีประสาน เครื่องบินดำทิ้งระเบิดบินสูงเหนือหัวก่อนเริ่มโจมตี ขณะที่เครื่องบินบรรทุกตอร์ปิโดเข้าโจมตีจากทุกทิศทางสูงเพียงเหนือระดับน้ำทะเล แม้จะท่วมท้นไปด้วยเป้าหมาย แต่ปืนต่อต้านอากาศยานของเรือประจัญบานกลับได้ผลเพียงเล็กน้อย ญี่ปุ่นได้พยายามใช้มาตรการรุนแรงเพื่อหยุดการโจมตี ปืนหลักของยะมะโตะได้ยิงกระสุนรวมแบบรวงผึ้ง ซึ่งจะระเบิดออกหลังยิงหนึ่งวินาที ที่ 1,000 เมตร (3,300 ฟุต) จากเรือ แต่ได้ผลเพียงเล็กน้อย ตอร์ปิโดสี่หรือห้าลูกยิงโดนเรือ สามหรือสี่ลูกที่กราบซ้ายและหนึ่งลูกที่กราบขวา สามลูกที่ยิงโดนบริเวณใกล้กันที่กราบซ้ายได้รับการยืนยัน ลูกแรกยิงโดนที่ห้องหม้อน้ำ อีกลูกยิงโดนที่ห้องหม้อน้ำอีกห้อง ลูกที่สามยิงโดนตัวเรือที่ติดกับห้องเครื่องยนต์ที่ตั้งอยู่นอกลำตัวเรือซึ่งได้รับความเสียหายก่อนหน้า ทำให้น้ำท่วมเพิ่มมากขึ้น และไหลไปสู่พื้นที่ว่าง อีกทั้งอาจเป็นเหตุให้น้ำท่วมพื้นที่ใกล้เคียงบริเวณนั้น ลูกที่สี่ (ไม่ได้รับการยืนยัน) อาจโจมตีโดนท้ายเรือ การ์ซคีและดับบลินเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะอธิบายถึงการที่น้ำท่วมอย่างฉับพลันที่มีการรายงานในบริเวณนั้นได้[37] การโจมตีนี้ทำให้ยะมะโตะตกอยู่ในอันตราย เรือเอียงถาวร 15–18° ไปทางกราบซ้าย การต่อต้านน้ำท่วมทั้งหมดที่เหลืออยู่ทางกราบขวาถูกใช้จนหมด ซึ่งช่วยให้เรือเอียงเหลือเพียง 10° แต่การแก้ไขที่เพิ่มขึ้นมาต้องการการซ่อมแซมหรือไม่ก็ปล่อยน้ำท่วมห้องเครื่องยนต์และห้องหม้อน้ำ ถึงแม้ว่า ตอนนี้เรือยังไม่ถึงกับจมลง แต่การเอียงถาวรทำให้หมู่ปืนหลักใช้การไม่ได้ และความเร็วสูงสุดของเรือถูกจำกัดอยู่ที่ 18 นอต (33 กม./ชม.)[38]


ใกล้เคียง

เรือประจัญบานยามาโตะ เรือประจัญบานชั้นยามาโตะ เรือประจัญบานบิสมาร์ค เรือประจัญบานมูซาชิ เรือประจัญบานชั้นเซาท์ดาโคตา เรือประจัญบาน เรือประจัญบานชั้นมอนแทนา เรือประจัญบานชั้นไอโอวา เรือประจัญบานเทียร์พิทซ์ เรือประจัญบานมิกาซะ

แหล่งที่มา

WikiPedia: เรือประจัญบานยามาโตะ http://combinedfleet.com/ships/yamato http://combinedfleet.com/yamato.htm http://books.google.com/books?id=n-20LVwKfTMC http://books.google.com/books?id=q-R_Zk5hFgkC http://books.google.com/books?id=q-R_Zk5hFgkC&pg=P... http://books.google.com/books?id=tSFnDppi-oMC&pg=P... http://news.google.com/newspapers?id=FP0tAAAAIBAJ&... http://www.navweaps.com/index_tech/tech-084.htm http://www.yamato-museum.com/en/ http://www.history.navy.mil/photos/sh-fornv/japan/...