กฎเกณฑ์ตามประวัติศาสตร์ ของ เสียงประสาน

ในทางด้านดนตรีตะวันตก ในแง่ของการบรรเลง, การประพันธ์ หรือทฤษฎีบางอย่างก็มีกฎการใช้เสียงประสานโดยเฉพาะ กฎเหล่านี้มักจะกล่าวถึงบ่อย ๆ ว่ามีที่มาจากคุณสมบัติทางธรรมชาติ อย่างเช่นตัวเลขสัดส่วนจากกฎการเทียบเสียงของพีทากอรัส (ความกลมกลืนมาจากตัวเลขสัดส่วน ทั้งจากที่สัมผัสได้และจากตัวมันเอง) หรือจากเสียงกังวาน (resonance) และเสียงฮาร์โมนิก (ความกลมกลืนมาจากคุณภาพของเสียง) กฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้จะผสมเข้ากับระดับเสียงที่เข้ากันได้และการประสานเพื่อความสวยงามหรือความเรียบง่ายที่ใกล้เคียงกับคุณสมบัติดังที่ต้องการ วิธีการนี้ช่วยให้โน้ตทบเจ็ดไมเนอร์ (minor 7th) และโน้ตทบเก้าเมเจอร์ (major 9th) ไม่ถูกจัดเป็นเสียงกระด้าง (เป็นเสียงกลมกลืน)

ดนตรีศาสนาของชาวตะวันตกในยุคแรก ๆ มักจะมีการใช้การขนานของขั้นคู่เพอร์เฟคต์ (perfect) โดยขั้นคู่เหล่านี้จะยังคงรักษาไว้ซึ่งความชัดเจนของเพลงร้องแนวเดียว (plainsong) ดั้งเดิมเอาไว้ ผลงานเหล่านี้ถูกสร้างและร้องอยู่ในศาสนสถาน และมีการใช้โหมดต่าง ๆ เพื่อสร้างเสียงประสานตามความเหมาะสมของสถานที่นั้น ๆ ในขณะที่ดนตรีหลากแนวเสียงกำลังพัฒนา การใช้ขั้นคู่ขนานดังที่กล่าวมานี้ก็ถูกแทนที่ด้วยรูปแบบของชาวอังกฤษ นั่นคือการประสานเป็นขั้นคู่สามหรือคู่หก ซึ่งรูปแบบของอังกฤษนี้เป็นที่ยอมรับว่าให้เสียงประสานที่ไพเราะและหวานซึ้งมากกว่า อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการเขียนดนตรีหลากแนวมากกว่า เนื่องด้วยความคล่องตัวของตัวโน้ต ดนตรีในช่วงแรกนั้นมีข้อห้ามในการใช้ขั้นคู่สามเสียงหรือทรัยโทน (tritone) เนื่องจากเป็นขั้นคู่เสียงกระด้าง ฉะนั้นคีตกวีส่วนใหญ่ในยุคนั้นจึงต้องใช้เทคนิคที่เรียกว่า "มูสิกา ฟิกตา" (musica ficta) คือการใช้เครื่องหมายแปลงเสียงจรเพื่อหลีกเลี่ยงขั้นคู่นี้ ทว่าในระบบคอร์ดทรัยแอด (triad) หรือคอร์ดที่มีโน้ตสามตัวในยุคใหม่ ทรัยโทนได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ เนื่องมาจากมาตรฐานการใช้เสียงกระด้าง ทำให้มันถูกใช้ในคอร์ดโดมิแนนท์ (dominant) อย่างเป็นที่นิยม

เสียงประสานส่วนใหญ่มักมาจากการที่เสียงมากกว่าหนึ่งเสียงถูกเล่นออกมาพร้อมกัน แต่ในบางครั้ง เสียงประสานก็สามารถถูกประยุกต์ให้บรรเลงออกมาจากแนวทำนองแนวเดียวได้ โดยใช้อาร์เปโจ (arpeggio) หรือฮอคเก็ต (hocket)