ฟริทซ์ เอริช เกออร์ค เอดูอาร์ท ฟ็อน เลวินสกี (
เยอรมัน: Fritz Erich Georg Eduard von Lewinski) หรือเป็นที่รู้จักกันคือ
เอริช ฟ็อน มันชไตน์ (
เยอรมัน: Erich von Manstein) เป็นนายทหารบกและจอมพลเยอรมัน เป็นผู้บัญชาการทหาร
แวร์มัคท์ของ
นาซีเยอรมนีในช่วง
สงครามโลกครั้งที่สองเกิดในตระกูลขุนนาง
ปรัสเซียที่มีประวัติศาสตร์อันยาวในการรับราชการทหาร มันชไตน์ได้เข้าร่วมกองทัพในช่วงวัยเยาว์และได้เห็นว่าทำหน้าที่ทั้ง
แนวรบด้านตะวันตกและ
ตะวันออกในช่วง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1914-1918) เขาได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งยศร้อยเอกโดยสงครามได้ยุติลงและมีบทบาทมากขึ้นในช่วงสมัยระหว่างสงครามซึ่งได้ช่วยให้เยอรมนีได้ทำการฟื้นฟูกองทัพขึ้นมาใหม่ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ในช่วง
การบุกครองโปแลนด์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ
สงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้ทำหน้าที่เป็นเสนาธิการทหารบกแก่
กองทัพกลุ่มตอนใต้ของ
แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้เลือกแผนทางยุทธศาสตร์ของมันชไตน์สำหรับ
การบุกครองฝรั่งเศสในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 แผนนี้ต่อมาได้ถูกคัดกรองโดย
ฟรันทซ์ ฮัลเดอร์และสมาชิกคนอื่นๆของ
กองบัญชาการใหญ่กองทัพบกเยอรมัน (OKH) ด้วยความคาดหมายว่า กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรจะต้องออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงขึ้นในการเข้ารุกรานที่เกิดขึ้นในเนเธอร์แลนด์ มันชไตน์ได้คิดแผนปฏิบัติการขึ้นใหม่—ซึ่งต่อมาเรียกว่า "เคียวตัด" (Sichelschnitt)—ที่ได้เรียกให้เข้าโจมตีผ่านป่าของ
อาร์แดนและพุ่งอย่างรวดเร็วไปยัง
ช่องแคบอังกฤษ เป็นการปิดล้อมกองทัพฝรั่งเศสและฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ใน
เบลเยียมและ
แฟลนเดอส์ เขาได้รับตำแหน่งยศนายพลในช่วงสิ้นสุดการทัพ เขาได้เข้าร่วมใน
การรุกรานสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 และ
การล้อมเซวัสโตปอล (ค.ศ. 1941–1942) และได้รับตำแหน่งยศ
จอมพล เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1942 เขายังได้มีส่วนร่วมใน
การล้อมเลนินกราดโชคชะตาของเยอรมนีในช่วงสงครามได้พลิกให้กลายเป็นความเสียเปรียบใน ค.ศ. 1942 โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยความพินาศย่อยยับจาก
ยุทธการที่สตาลินกราด ที่มันชไตน์ได้ล้มเหลวในการบังคัญชาเพื่อการบรรเทาวงล้อม (
ปฏิบัติการพายุฤดูหนาว) ในเดือนธันวาคม ต่อมาได้เป็นที่รู้จักกันคือ "การตีหลังมือ" (backhand blow) มันชไตน์ได้ทำโจมตีตอบโต้กลับใน
ยุทธการที่คาร์คอฟครั้งที่ 3 (กุมภาพันธ์–มีนาคม ค.ศ. 1943) ได้เข้ายึดชิงดินแดนที่สำคัญกลับคืนและส่งผลทำให้เกิดการล้างผลาญของกองทัพโซเวียตไปสามกองทัพและการล่าถอยไปอีกสามกองทัพ เขาได้เป็นหนึ่งในผู้บัญชาการหลักที่
ยุทธการที่คูสค์ (กรกฎาคม–สิงหาคม ค.ศ. 1943) หนึ่งในการรบของรถถังที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยความไม่ลงรอยกันอย่างต่อเนืองของเขากับฮิตเลอร์ในการดำเนินสงครามต่อไปจนทำให้เขาต้องถูกปลดออกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 เขาไม่ได้รับคำสั่งอีกเลยและถูกจับกุมเป็นเชลยโดยอังกฤษในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 หลายเดือนหลังความพ่ายแพ้ของเยอรมนีมันชไตน์ได้ให้ปากคำที่
การพิจารณาคดีเนือร์นแบร์คหลักที่เกี่ยวกับข้อหาอาชญากรสงครามในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1946 และได้เตรียมเอกสาร, ที่พร้อมกับความทรงจำของเขาในภายหลัง, ได้ช่วยทำให้เกิดการปลูกฝังตำนานของ "
แวร์มัคท์บริสุทธิ์"—เป็นตำนานที่เชื่อว่ากองทัพเยอรมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความโหดร้ายของ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี ใน ค.ศ. 1949 เขาได้ถูก
พิจารณาคดีใน
ฮัมบวร์คสำหรับข้อหาอาชญากรรมสงครามและได้ตัดสินว่ามีความผิดจากเก้าในสิบเจ็ดข้อหา รวมทั้งการรักษาชีวิตเชลยศึกที่ไม่ดีและความล้มเหลวในการปกป้องชีวิตพลเรือนในขอบเขตปฏิบัติการของเขา ได้รับโทษด้วยการจำคุกเป็นเวลา 18 ปี ต่อมาได้ลดลงเหลือ 12 ปี และเขาได้ใช้ชีวิตในคุกเพียงสี่ปีก่อนจะได้รับการปล่อยตัวใน ค.ศ. 1953 ได้เป็นที่ปรึกษาด้านการทหารให้แก่รัฐบาล
เยอรมนีตะวันตกในช่วงปลาย ค.ศ. 1950 เขาได้ช่วยสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง บันทึกของเขา Verlorene Siege (ค.ศ. 1955) ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Lost Victories ("ชัยชนะที่หายไป"), เป็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากของความเป็นผู้นำของฮิตเลอร์ และการบริหารกับเพียงด้านการทหารในช่วงยามสงคราม โดยไม่คำนึงถึงด้านการเมืองและศีลธรรม มันชไตน์ได้ถึงแก่อสัญกรรมใกล้กับ
มิวนิกใน ค.ศ. 1973