บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่งสำหรับ AES-128 กุญแจสามารถหาได้ด้วยวิธีที่มีความซับซ้อนเชิงคำนวณที่ 2126.1 โดยใช้ biclique attackถ้าใช้วิธีเดียวกันต่อ AES-192 และ AES-256 ความซับซ้อนจะอยู่ที่ 2189.7 และ 2254.4 ตามลำดับ
เออีเอส ซึ่งเป็นตัวย่อของ
Advanced Encryption Standard (
AES) ที่มีชื่อดั้งเดิมว่า
Rijndael (เสียงอ่านภาษาดัตช์: [ˈrɛindaːl] อ่านว่า เรนดาล)
[3]เป็นมาตรฐาน
การเข้ารหัสลับข้อมูลอิเล็กทรอนิกที่ตั้งขึ้นโดยสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐ (NIST) ในปี 2001
[4]เออีเอสเป็นส่วนย่อยของกลุ่มบล็อกไซเฟอร์ (block cipher)
[upper-alpha 4]ที่เรียกว่าเรนดาล (Rijndael)
[3]และพัฒนาโดยนักวิทยาการเข้ารหัสลับ
ชาวเบลเยียมสองท่าน คือวินเซ็นต์ เรเม็น (Vincent Rijmen) และโจน แดเม็น (Joan Daemen) ผู้ส่งวิธีการเป็นข้อเสนอ
[5]แก่ NIST เมื่อองค์กรกำลังเลือกไซเฟอร์ (cipher)
[upper-alpha 5]เพื่อใช้เป็นเออีเอส
[6]เรนดาลเป็นกลุ่มไซเฟอร์ที่มีกุญแจและบล็อก (block) ขนาดต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นมาตรฐานเออีเอส NIST ได้เลือกสมาชิก 3 หน่วยจากกลุ่มเรนดาล แต่ละอย่างมีขนาดบล็อก 128
บิตโดยมีกุญแจขนาดต่าง ๆ คือ 128, 192 และ 256
บิตรัฐบาลกลางสหรัฐได้เลือกใช้มาตรฐานนี้ และปัจจุบันก็ใช้กันทั่วโลกเป็นมาตรฐานแทน Data Encryption Standard (DES)
[7]ซึ่งเผยแพร่ในปี 1977AES ใช้
ขั้นตอนวิธีแบบกุญแจสมมาตร (symmetric-key algorithm) คือ ใช้กุญแจตัวเดียวกันเพื่อทั้งเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลในสหรัฐ NIST ได้ประกาศเออีเอสเป็นมาตรฐานประมวลข้อมูลรัฐบาลกลางสหรัฐ (FIPS 197) เมื่อปลายปี 2001
[4]นี่ทำตามหลังกระบวนการวางมาตรฐาน ซึ่งมีแบบที่เข้าแข่งขันกัน 15 แบบ เมื่อประเมินแล้วไซเฟอร์เรนดาลจึงได้เลือกว่าเหมาะสมที่สุดเออีเอสจึงกลายเป็นมาตรฐานรัฐบาลกลางสหรัฐเมื่อกลางปี 2002 หลังจากได้รับอนุมัติจากเลขาธิการ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเออีเอสได้รวมเข้ามาตรฐานของ
องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) และ International Electrotechnical Commission (IEC) คือ ISO/IEC 18033-3 standardเออีเอสมีใช้ในคลัง/โปรแกรมเข้ารหัสสำเร็จหลายอย่าง เป็นไซเฟอร์ที่สาธารณชนเข้าถึงได้เดียวที่
สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (NSA) อนุมัติให้ใช้เข้ารหัสข้อมูลราชการลับระดับ "top secret" โดยต้องใช้
มอดูลเข้ารหัสที่องค์กรได้อนุมัติ