ประวัติ ของ แป้งโกะ

วัยเยาว์

จินตนัดดาเป็นชาวกรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของณรงค์ ลัมะกานนท์ และภริยา ณรงค์นั้นจัดรายการวิทยุ ทำธุรกิจด้านอาหาร และเปิดร้านอาหารชื่อ บ้านประพักตร์ ซึ่งนำเอาชื่อมารดาของณรงค์เองมาตั้ง[9]

ในวัยเด็ก จินตนัดดาชอบร้องเพลง และฝันใฝ่เป็นนักร้อง ซึ่งบิดามารดาสนับสนุน แต่ไม่เคยประกวดประชันเป็นกิจจะลักษณะ ต่อมาจึงเรียนทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล โดยเฉพาะการเล่นซออู้ ซอด้วง และเปียโน[2]

จินตนัดดาศึกษามัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนหญิงล้วน โรงเรียนราชินีบน[3] ณ ที่นั้น เธอมักขลุกตัวอยู่ในวงดุริยางค์ของโรงเรียน เพราะสนุกสนานกับเครื่องดนตรีต่าง ๆ[2] ในโอกาสหนึ่ง เธอเห็นรุ่นพี่เล่นกีตาร์แล้วชอบใจ จึงหัดเล่นเองระยะหนึ่ง แต่ทิ้งไป โดยเธอให้เหตุผลว่า "...รู้สึกว่ากีตาร์มันตัวใหญ่ เราเล่นไม่ได้หรอก..."[2] ต่อมาเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย จึงหัดกีตาร์อีกครั้งจนเล่นเป็น[2]

นอกจากความชอบดนตรีแล้ว จินตนัดดายังใฝ่ใจในศิลปะ เธอว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบิดาก็ชอบศิลปะเช่นกัน[2] เมื่อเรียนที่โรงเรียนราชินีบน จินตนัดดาอยู่ชมรมศิลปะ และวาดรูปประกวดหลายครั้ง[2] เธอกล่าวว่า "...[ศิลปะ] เป็นวิชาเดียวที่ได้เกรดเอตลอด แม้จะจำไม่ได้ว่าตัวเองวาดรูปไหนเป็นรูปแรก"[2]

การศึกษาต่างประเทศ และเน็ตไอดอล

เมื่อจบมัธยมศึกษาตอนต้น บิดามารดาเห็นว่า เธอมีทักษะภาษาต่างประเทศต่ำ จึงให้ไปเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อที่วิทยาลัยเวล์ลิงเทินอีสต์เกิลส์ (Wellington East Girls' College) กรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นเวลาสามปี[3][10] จินตนัดดาเลือกเรียนสาขาศิลปะเป็นหลัก[2] เธอกล่าวว่าการเรียนต่างประเทศทำให้เธอเป็นผู้ใหญ่ กล้าแสดงออก และพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น เพราะช่วงเวลาสามปีนั้นต้องอาศัยอยู่กับชาวนิวซีแลนด์ซึ่งเธอบรรยายไว้ดังนี้[2]

"...ไม่ค่อยดูแลประคบประหงมเหมือนคนไทย...เราต้องทำตัวให้ทรหดเมื่ออยู่กับเขา...เพราะว่าไปเขาก็ไม่ใส่ใจแป้ง เป็นครอบครัวฝรั่ง มีพ่อแม่ แล้วก็ลูกหนึ่งคน ข้าวกลางวันเขาคลุกข้าวโพดกับน้ำตาลให้เรากิน เราก็กินแบบนี้อยู่เป็นปีเลยค่ะ พอกลางวัน เราต้องทำข้าวกลางวันไปกินเองที่โรงเรียน เขาก็ให้ทูน่ากระป๋องและให้ข้าวมา เราก็ต้องกินแบบนั้น...แป้งจะกลับเมืองไทย...เราก็ออกตั้งแต่หกโมงเช้า ออกจากบ้านตอนตีสี่ เขาก็ไม่ไปส่งเรา [ที่สนามบิน]...ตอนหลัง โรงเรียนก็คอมเพลน [ตำหนิ] ไป...ปีต่อมาเราก็ขอเปลี่ยนโฮสต์ [เจ้าบ้าน]...เป็นครอบครัวจีน ก็ได้กินอิ่ม สบายไป..."

แม้วัยเยาว์ชอบแสดงออก แต่เมื่อเติบโตขึ้นแล้ว ความกล้าแสดงออกเริ่มลดลงตามวัย ในระหว่างเรียนที่ประเทศนิวซีแลนด์ จึงหันไปเขียนอนุทินลงบล็อก เพื่อส่งเรื่องราวและรูปภาพให้ครอบครัว ครั้งหนึ่งเธอให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า "...พอได้เขียนไดอารี ก็เริ่มมีความกล้าเขียนกล้าพูดมากขึ้น แต่ถ้าให้ขึ้นโชว์ก็จะไม่ค่อยกล้า...ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราต้องขี้อายตอนโต...ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง..."[2] มีผู้ติดตามอ่านและชื่นชอบบล็อกของจินตนัดดาพอสมควร[10] เขาเหล่านั้นเผยแพร่รูปภาพของเธอต่อไปในอินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง ทำให้เธอได้รับความนิยมในสังคมออนไลน์[3][10]

อุดมศึกษา

สำเร็จมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว จินตนัดดากลับมาเรียนอุดมศึกษาที่บ้านเกิดเมืองนอน โดยเข้าศึกษาที่คณะโรงแรมและการท่องเที่ยว ภาคอังกฤษ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล[10][11] เพราะเห็นว่า ครอบครัวทำธุรกิจอาหาร ประกอบตนเองชอบเที่ยว วิชาการสาขานี้คงเป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว[2] แต่เมื่อเรียนไประยะหนึ่ง เธอเห็นว่าสาขานี้ไม่ต้องตรงความประสงค์ที่แท้จริงของตน จึงลาออกไปสอบเข้าและศึกษาสาขานิเทศศิลป์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี[10] ซึ่งเธอเห็นว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับตนแล้ว[2]

ในระหว่างศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีนั้น จินตนัดดาเป็นนางแบบนิตยสารด้วย[5] และราว พ.ศ. 2552–2553 เธอได้ฝึกงานที่ เอ็มพี กราฟิกเฮ้าส์ มีหน้าที่ออกแบบตราสัญลักษณ์และรูปลักษณ์สำหรับผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และเว็บไซต์ต่าง ๆ[12] งานแรกของเธอคือรับจ้างชาวอังกฤษออกแบบแฟลชเกม (flash game)[12]

จินตนัดดาได้สำเร็จเป็นสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต สาขานิเทศศิลป์ เมื่อ พ.ศ. 2553[2][3] แล้วศึกษาปริญญาโทสาขาเดียวกันนั้นต่อ[10] เวลาที่จินตนัดดาสำเร็จเป็นบัณฑิตนั้น เป็นช่วงเดียวกับวงดนตรีซิงกูล่าร์ สังกัดโซนีมิวสิก เปิดตัวพร้อมเพลงแรกของวงคือ "เบาเบา" ซึ่งเป็นเพลงแนวอคูสติก ขณะนั้น ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอเพลงดังกล่าวได้พบรูปภาพของจินตนัดดาที่มีอยู่ทั่วไปในอินเทอร์เน็ตเข้าก็ต้องใจ จึงติดต่อหา จินตนัดดากล่าวว่า ตอนนั้นเป็นเวลาแปดโมงเช้า และเธอหลับอยู่ จึงลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ด้วยความสลึมสลือ[6] เมื่อมิวสิกวิดีโอเพลง "เบาเบา" เผยแพร่แล้ว เพลงดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในปี 2553 นั้น จินตนัดดาจึงได้แสดงมิวสิกวิดีโอเพลง "เธอบอก" ของ นำโชค ทะนัดรัมย์ และปีต่อมา เพลง "สิวเม็ดใหญ่" ของ พาที สารสิน อีก[3][5][6]

การเป็นนักดนตรี และอินเทอร์เน็ตมีม

จินตนัดดาร้องเพลง "เต้าหู้ไข่" ลงยูทูบเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2554
เผยแพร่เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2554 เนื่องในอุทกภัยใหญ่ในปีนั้น

หากมีปัญหาในการเล่นไฟล์นี้ ดูที่ วิธีใช้สื่อ

หลังเล่นมิวสิกวิดีโอเพลง "เบาเบา" เสร็จ คณะทำงานมิวสิกวิดีโอดังกล่าวทราบอยู่แล้วว่าจินตนัดดาร้องเพลงได้ จึงชี้ชวนไปเป็นนักร้อง โดยให้ไปทดสอบเสียงที่ค่ายเพลง บีลีฟ เรคคอร์ด เมื่อเห็นว่ามีความสามารถดี ค่ายเพลงจึงตกลงทำเพลงด้วยกัน และทำสัญญาในเวลานั้นด้วย[13] แต่เนื่องจากติดเรียนปริญญาโท เธอจึงขอผัดไปคุยรายละเอียดเรื่องเพลงภายหลัง[2][10]

ระหว่างนั้น จินตนัดดาอัดวีดิทัศน์ตนเองร้องและเล่นกีตาร์เพลง "เบาเบา" แล้วนำลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งภายหลังเธอให้สัมภาษณ์ว่า เพียงนึกสนุก เพราะ "มิวสิกวิดีโอเพลง 'เบาเบา' ออกแล้ว นางเอกเพลง 'เบาเบา' ก็ควรออกวิดีโอบ้าง"[14] และกล่าวว่า เธอต้องการทราบผลตอบรับของผู้ฟังเธอร้องเพลง เพื่อหยั่งอนาคตการเป็นนักดนตรีของเธอ[13] มีผู้คนจำนวนมากเข้าชมวีดิทัศน์ดังกล่าวในยูทูบอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มีผู้ชมมากกว่าหนึ่งล้านครั้ง[6] สถิติดังกล่าวไม่เป็นที่คาดหมายได้ของจินตนัดดาเช่นกัน เธอตกใจจนปิดช่องของตนในยูทูบไปชั่วระยะหนึ่ง แต่เพราะมีผู้เรียกร้องให้เธอกลับมา จินตนัดดาจึงเปิดช่องนั้นอีกครั้ง[11] ครั้งหนึ่ง เธอกล่าวว่า "...ตอนแรกที่อัปคลิปร้องเพลงของตัวเองลงยูทูบ ตกใจมาก คนมาดูเยอะมาก คิดว่าเยอะไปรึเปล่า เลยปิดแชแนล [ช่อง] ของตัวเองไปพักหนึ่ง แต่ก็กลับมาเปิด คิดว่าดีที่มีคนมาเมนต์ [วิพากษ์] จะได้มีกำลังใจ มีติบ้าง ชมบ้าง ก็มาพัฒนากัน...ต่อไป..."[11]

ภายหลัง เธอได้อัดวีดิทัศน์ตัวเองร้องเพลงหลายเพลงแล้วนำลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบ เช่น เพลง "คิสมี" (Kiss Me) ของ วงซิกเปนซ์นอนเดอะริเชอร์ (Sixpence None the Richer) (3 ธันวาคม 2553) "เผื่อลืม" ของ วงวัน-ทู-ทรี โซล (10 ธันวาคม 2553) "เธอคือของขวัญ" ของ นำโชค ทะนัดรัมย์ (31 ธันวาคม 2553) "ทะเลใจ" ของ วงคาราบาว (2 กุมภาพันธ์ 2554) และ "ทะเลสีดำ" ของ กันยารัตน์ ติยะพรไชย (27 พฤศจิกายน 2554) วีดิทัศน์ทั้งหมดนี้มีผู้เข้าชมและแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน[15]

เมื่อว่างเรียนแล้ว จินตนัดดาและค่ายเพลงของเธอจึงเริ่มทำเพลงกัน โดยวางโครงการว่า เพลงของจินตนัดดาจะเป็นแนวอคูสติก หรือไม่ก็แนวที่ฟังง่าย ประสมกับแนวแจซที่เธอชอบเป็นการส่วนตัว และประกอบแนวป๊อปและบอสซาโนวา[2] นอกจากความชอบแล้ว จินตนัดดากล่าวถึงสาเหตุที่เลือกแนวเพลงเช่นนี้ว่า เพราะเธอไม่ชอบเต้น[13]

เดือนพฤษภาคม 2554 จินตนัดดาออกซิงเกิลแรกของตน ชื่อเพลง "โพสต์การ์ด" (Postcard) หมายถึง ไปรษณียบัตร และมีเนื้อหาว่า ในวันแดดล่มลมตก ผู้ร้องนั่งเขียนความในใจลงในไปรษณียบัตรใบหนึ่ง เพียงแต่ไม่ทราบว่าคนที่ควรรับนั้นอยู่ที่ใด[16] เพลงนี้ จินตนัดดาร่วมเขียนเนื้อร้องและทำนองด้วย[16] ต่อมาวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 มิวสิกวิดีโอเพลง "โพสต์คาร์ด" ซึ่งถ่ายทำที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดสมุทรปราการ ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรก[4] และเพลงดังกล่าวก็รวมไว้ในอัลบัมรวมเพลงใหม่ของค่าย ที่มีชื่อยาวว่า Believe Compilation 03 Sing It by Wall's Cornetto โคนดนตรี ด้วย[16]

ครั้นวันที่ 20 กรกฎาคม 2554 จินตนัดดาลงวีดิทัศน์ตนเองร้องและบรรเลงเพลง "เต้าหู้ไข่" ในยูทูบมีผู้ชมเป็นอันมากไม่ต่างกับวีดิทัศน์ก่อน ๆ หน้า[13] ภายหลังเธอให้สัมภาษณ์ว่า เธอเขียนเพลง "เต้าหู้ไข่" เองตั้งแต่ครั้งที่เป็นนักศึกษา มีเนื้อหาตลก และต้องการใช้คำ "เต้าหู้ไข่" เปรียบเปรยถึงความรัก เพราะเขียนเพลงขึ้นระหว่างรับประทานอาหารที่ร้านติ่มซำ[13] เธอกล่าวด้วยว่า อาจบันทึกเสียงแล้วให้เพลงนี้เป็นเพลงแถมในอัลบัมแรกของเธอที่บัดนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการก็ได้[13] เดือนสิงหาคม 2554 นิตยสาร อะเดย์ มีอายุครบสิบเอ็ดปี และเลือกให้จินตนัดดาขึ้นปก ฉบับที่ 132 ประจำเดือนนั้นด้วย[1]

แหล่งที่มา

WikiPedia: แป้งโกะ http://dailylenglui.blogspot.com/2011/06/wondering... http://www.chudjane.com/?videos=pango-postcard-off... http://www.daypoets.com/aday2/?p=1930 http://www.dek-d.com/content/girl/23844/%E0%B9%81%... http://www.dekying.com/women1010.htm http://www.instagram.com/wonderingpango http://teen.mthai.com/life_style/2365.html http://campus.sanook.com/938570/%E0%B9%81%E0%B8%9B... http://www.student-weekly.com/080811/entertain3.ht... http://www.youtube.com/user/chintnudda