แรงดันสภาพซ้อนสถานะของอิเล็กตรอน หรือ
ความดันดีเจนเนอเรซีของอิเล็กตรอน (
อังกฤษ: Electron degeneracy pressure) เป็นผลสืบเนื่องมาจาก
หลักการกีดกันของเพาลี ซึ่งกล่าวว่า
เฟอร์มิออนสองตัวไม่สามารถอยู่ใน
สถานะควอนตัมเดียวกันในเวลาเดียวกัน แรงที่เกิดขึ้นจากความดันนี้กำหนดขีดจำกัดขอบเขตที่สสารจะสามารถถูกบีบอัดเข้าด้วยกันโดยไม่กลายเป็น
ดาวนิวตรอนหรือ
หลุมดำ แรงดังกล่าวนับว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อ
ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เนื่องจากอธิบายการมีอยู่ของ
ดาวแคระขาวเมื่อ
อิเล็กตรอนถูกบีบอัดเข้าใกล้กันมากเกินไป อนุภาคที่แยกออกไปจะทำให้มันต้องมีระดับพลังงานที่เปลี่ยนไปเช่นกัน ในการเพิ่มอิเล็กตรอนอีกอนุภาคหนึ่งให้กับปริมาตรที่ให้มาจะต้องมีการเพิ่มระดับพลังงานของอิเล็กตรอนเพื่อสร้างพื้นที่ว่าง และปัจจัยดังกล่าวเป็นพลังงานซึ่งบีบอัดวัสดุซึ่งอยู่ในรูปของแรงดันแรงดันสภาพซ้อนสถานะของอิเล็กตรอนในวัตถุสามารถคำนวณได้จาก
[1]โดยที่ h {\displaystyle h} คือ
ค่าคงตัวของพลังค์ m e {\displaystyle m_{\rm {e}}} คือ มวลของอิเล็กตรอน m p {\displaystyle m_{\rm {p}}} คือ มวลของ
โปรตอน ρ {\displaystyle \rho } คือ ความหนาแน่น และ μ e = N e / N p {\displaystyle \mu _{e}=N_{e}/N_{p}} คือ อัตราส่วนของจำนวนอิเล็กตรอนต่อจำนวนโปรตอน (เมื่อพลังงานอนุภาคเพิ่มขึ้นถึงระดับ
สัมพัทธภาพ จำเป็นต้องใช้สูตรที่ดัดแปลง)แรงดันสภาพซ้อนสถานะของอิเล็กตรอนจะช่วยยับยั้งการยุบตัวเนื่องจาก
แรงโน้มถ่วงของ
ดาวฤกษ์ หากว่า
มวลของมันต่ำกว่า
ขีดจำกัดจันทราสิกขา (1.38 เท่าของ
มวลดวงอาทิตย์[2]) แรงดันดังกล่าวจะป้องกันมิให้ดาวแคระขาวสลายตัว ดาวฤกษ์ซึ่งมีมวลเกินกว่านี้และไม่มีเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่สามารถใช้การได้อยู่ ดาวฤกษ์จะยุบตัวลงต่อไปจนกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ เนื่องจากแรงดันสภาพซ้อนสถานะที่ได้จากอิเล็กตรอนอ่อนกว่าแรงดึงของแรงโน้มถ่วง