เมนูนำทาง
แอริสตอเติล ปรัชญาธรรมชาติ"ปรัชญาธรรมชาติ" ของแอริสตอเติลครอบคลุมปรากฏการณ์ธรรมชาติหลากหลายซึ่งรวมถึงสิ่งที่จัดอยู่ในวิชาฟิสิกส์ ชีววิทยาหรือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอื่นในปัจจุบัน[10] ในอภิธานของแอริสตอเติล "ปรัชญาธรรมชาติ" เป็นปรัชญาแขนงหนึ่งที่สอบสวนปรากฏการณ์ในโลกธรรมชาติ งานของแอริสตอเติลครอบคลุมการสอบสวนทางปัญญาแทบทุกแง่มุม แอริสตอเติลทำให้ปรัชญามีความหมายอย่างกว้างอยู่รวมกับการใช้เหตุผล ซึ่งเขาจะเรียกว่าเป็น "ศาสตร์" แต่พึงทราบว่าการใช้คำว่า "ศาสตร์" ของเขานั้นมีความหมายแตกต่างจากสิ่งที่ครอบคลุมด้วยคำว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แอริสตอเติลเขียนว่า "ศาสตร์ (dianoia) ทุกชนิดเป็นเชิงปฏิบัติ บทกวีหรือทฤษฎี" ศาสตร์เชิงปฏิบัติของเขารวมถึงจริยศาสตร์และการเมือง ศาสตร์บทกวีของเขาหมายความถึงการศึกษาวิจิตรศิลป์รวมทั้งบทกวี ศาสตร์ทฤษฎีของเขาครอบคลุมฟิสิกส์ คณิตศาสตร์และอภิปรัชญา[10]
ในหนังสือ On Generation and Corruption แอริสตอเติลเชื่อมโยงสี่ธาตุที่เสนอก่อนหน้านี้โดย Empedocles ได้แก่ ดิน น้ำ ลมและไฟ กับคุณสมบัติที่สัมผัสได้สองจากสี่อย่าง ได้แก่ ร้อน เย็น เปียกและแห้ง ตามแผนของ Empedocles สสารทั้งหมดประกอบขึ้นจากสี่ธาตุในสัดส่วนแตกต่างกัน แผนของแอริสตอเติลเพิ่มธาตุอีเทอร์ (Aether) จากสวรรค์ ซึ่งเป็นสสารของทรงกลมสวรรค์ คือ ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์[11]
ธาตุ | ร้อน/เย็น | เปียก/แห้ง | การเคลื่อนที่ | สถานะของสสารสมัยใหม่ |
---|---|---|---|---|
ดิน | เย็น | แห้ง | ลง | ของแข็ง |
น้ำ | เย็น | เปียก | ลง | ของเหลว |
ลม | ร้อน | เปียก | ขึ้น | แก๊ส |
ไฟ | ร้อน | แห้ง | ขึ้น | พลาสมา |
อีเทอร์ | (สสารเทวะ) | — | เป็นวงกลม (บนสวรรค์) | — |
แอริสตอเติลอธิบายการเคลื่อนที่ไว้สองแบบ คือ "การเคลื่อนที่รุนแรง" หรือ "ไม่เป็นธรรมชาติ" เช่น การขว้างหิน และ "การเคลื่อนที่ธรรมชาติ" เช่น วัตถุที่ตกลงพื้น ในการเคลื่อนที่รุนแรง เมื่อตัวการหยุดออกแรงกระทำ การเคลื่อนที่ก็หยุดเช่นกัน กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า สภาพธรรมชาติของวัตถุคือการอยู่กับที่[14] เนื่องจากแอริสตอเติลไม่ได้พิจารณาแรงเสียดทานด้วย[12] ด้วยความเข้าใจนี้ จะสังเกตได้ตามที่แอริสตอเติลกล่าวว่า วัตถุหนัก (เช่น อยู่บนพื้น) ต้องใช้แรงมากกว่าในการทำให้วัตถุขยับ ละวัตถุที่ถูกผลักด้วยแรงที่มากกว่าจะเคลื่อนที่เร็วกว่า[15]
ใน Physics (215a25) แอริสตอเติลระบุกฎจำนวนว่า ความเร็ว v ของวัตถุที่ตกลงแปรผันตรง (กำหนดค่าคงที่ตัวหนึ่งขึ้นมาคือ c) กับน้ำหนัก W และแปรผกผันกับความหนาแน่น[upper-alpha 4] ρ ของของไหลที่เป็นตัวกลาง[13][12]
v = c W ρ {\displaystyle v=c{\frac {W}{\rho }}}แอริสตอเติลส่อความว่าในสุญญากาศความเร็วของการตกจะไม่มีที่สิ้นสุด และสรุปจากความไม่สมเหตุสมผลนี้ว่าสุญญากาศจะมีอยู่ไม่ได้[13][12]
อาร์คิมิดีสแก้ไขทฤษฎีของแอริสตอเติลว่าวัตถุที่เคลื่อนที่เข้าสู่สถานที่พักตามธรรมชาติของมัน เรือโลหะสามารถลอยน้ำได้หากมันแทนที่น้ำมากพอ การลอยขึ้นอยู่กับแผนของอาร์คิมิดีสว่าด้วยมวลและปริมาตรของวัตถุ ไม่ใช่ความคิดเรื่ององค์ประกอบมูลฐานของวัถตุของแอริสตอเติล[13]
งานเขียนของแอริสตอเติลว่าด้วยการเคลื่อนที่ยังมีอิทธิพลอยู่จนสมัยใหม่ตอนต้น กล่าวกันว่ากาลิเลโอแสดงด้วยการทดลองว่าข้ออ้างของแอริสตอเติลเรื่องวัตถุที่หนักกว่าจะตกลงสู่พื้นเร็วกว่าวัตถุที่เบากว่าไม่ถูกต้อง[10] ส่วนคาร์โล โรเวลลี นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีความเห็นแย้งว่า ฟิสิกส์การเคลื่อนที่ของแอริสตอเติลถูกต้องในขอบเขตความสมเหตุสมผล ที่ว่าวัตถุในสนามความโน้มถ่วงของโลกจมอยู่ในของไหลเช่นอากาศ ในระบบนี้ วัตถุที่หนักกว่าตกลงอย่างคงที่เดินทางเร็วกว่าวัตถุที่เบากว่า (ไม่ว่าคิดแรงเสียดทานหรือไม่)[13] และวัตถุจะตกลงช้าลงในตัวกลางที่หนาแน่นกว่า[15]
แอริสตอเติลเสนอว่าเหตุผลของทุกสิ่งสามารถบอกได้ว่ามาจากปัจจัยสี่ชนิด
แอริสตอเติลอธิบายการทดลองในวิชาทัศนศาสตร์โดยใช้กล้องทาบเงาใน Problems เล่มที่ 15 อุปกรณ์ดังกล่าวประกอบด้วยห้องมืดโดยเจาะช่องขนาดเล็กให้แสงผ่าน เมื่อใช้กล้องดังกล่าว เขาเห็นว่าไม่ว่าเจาะรูเป็นรูปใดก็ตาม จะเห็นภาพดวงอาทิตย์เป็นทรงกลมเสมอ เขายังสังเกตว่าการเพิ่มระยะห่างระหว่างช่องกับพื้นผิวภาพจะขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น[19]
แอริสตอเติลกล่าวว่า ความบังเอิญ (chance) และการเกิดเอง (spontaneity) เป็นสาเหตุของบางสิ่ง ซึ่งแยกจากเหตุอย่างอื่น เช่น เป็นเพียงความจำเป็น (necessity) ความบังเอิญที่เป็นเหตุที่มีความสำคัญรองลงมาอยู่ในขอบเขตของอุบัติเหตุ (accident) "จากสิ่งที่เกิดเอง" นอกจากนี้ ยังมีความบังเอิญอีกชนิดหนึ่งที่จำเพาะกว่า ซึ่งแอริสตอเติลตั้งชื่อว่า "โชค" (luck) ซึ่งใช้กับตัวเลือกจริยธรรมของบุคคลเท่านั้น[20][21]
แอริสตอเติลหักล้างข้ออ้างของดิมอคริตัสที่ว่าทางช้างเผือกเกิดขึ้นจาก "ดาวฤกษ์ที่ถูกเงาของโลกบดบังจากรัศมีดวงอาทิตย์" โดยชี้ให้เห็นอย่างถูกต้องว่าหาก "ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าโลก และระยะห่างของดาวฤกษ์กับโลกนั้นไกลกว่าระยะห่างจากดวงอาทิตย์ถึงโลกหลายเท่า แล้วดวงอาทิตย์จะส่องแสงไปยังดาวฤกษ์ทั้งหมดโดยที่โลกจะบังไว้ไม่ได้"[22]
แอริสตอเติลเป็นคนแรก ๆ ที่บันทึกการสังเกตทางภูมิศาสตร์ เขากล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์นั้นช้าเกินกว่าจะสังเกตได้ในชั่วชีวิตของบุคคลคนหนึ่ง[23][24]
แอริสตอเติลเป็นบุคคลแรกที่ศึกษาชีววิทยาอย่างเป็นระบบ และชีววิทยาเป็นส่วนใหญ่ของงานเขียนของเขา เขาใช้เวลาสองปีศึกษาและบรรยายสัตววิทยาของเลสบอสและทะเลโดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลากูนไพรา (Pyrrha) ที่อยู่กลางเกาะ[25][26] ข้อมูลของเขารวบรวมจากข้อสังเกตของเขาเอง[27] คำแถลงของผู้มีความรู้ชำนัญพิเศษอย่างคนเลี้ยงผึ้งและชาวประมง และบันทึกที่ไม่ค่อยแม่นยำนักที่ได้จากนักเดินทางจากต่างถิ่น[28] การเน้นเกี่ยวกับสัตว์มากกว่าพืชนั้นเป็นความบังเอิญทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ งานเกี่ยวกับพฤกษศาสตร์ของเขาสูญหายไป แต่งานเกี่ยวกับพืชของศิษย์เขาเหลือรอดต่อมา[29]
แอริสตอเติลรายงานสัตว์ทะเลที่เห็นจากการสังเกตบนเลสบอสและสัตว์น้ำที่ชาวประมงจับได้ เขาอธิบายปลาดุก ปลากระเบนไฟฟ้าและปลากบอย่างละเอียด ตลอดจนชั้นเซฟาโลพอด เช่น หมึกและอาร์โกนอต (argonaut) คำบรรยายหนวดผสมพันธุ์ (hectocotyl arm) ของเซฟาโลพอดนั้น คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อกันจนคริสต์ศตวรรษที่ 19[30] เขาให้คำบรรยายอย่างแม่นยำของกระเพาะสี่ห้องของสัตว์เคี้ยวเอื้อง[31] และการเจริญของตัวอ่อนแบบฟักไข่ในตัวของปลาฉลามหมา (houndshark)[32]
เขาสังเกตว่าโครงสร้างของสัตว์ตรงกับการทำหน้าที่พอดี ฉะนั้นในหมู่นก นกกระสาซึ่งอาศัยอยู่ในหนองบึงที่มีโคลนอ่อนและอาศัยจับปลา จึงมีคอและขายาว และมีจะงอยปากแหลมคล้ายหอก ส่วนเป็ดที่ว่ายน้ำได้จะมีขาสั้นและเท้าเป็นพังผืด[33] ทั้งนี้ ชาลส์ ดาร์วินสังเกตข้อแตกต่างระหว่างสัตว์ชนิดคล้ายกันเหล่านี้ด้วย แต่เขาใช้ข้อมูลสรุปเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการซึ่งต่างจากแอริสตอเติล สำหรับผู้อ่านสมัยใหม่ งานเขียนของแอริสตอเติลเข้าใกล้การส่อความถึงวิวัฒนาการ แต่ถึงแม้แอริสตอเติลทราบว่ามีการกลายพันธุ์หรือพันธุ์ผสมเกิดขึ้นได้ แต่เขามองว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดน้อย สำหรับแอริสตอเติล อุบัติเหตุเป็นเหมือนคลื่นความร้อนในฤดูหนาวที่จะต้องถือแยกจากสาเหตุธรรมชาติ ฉะนั้น เขาจึงวิจารณ์ทฤษฎีวัสดุนิยมกำเนิดสิ่งมีชีวิตและอวัยวะของสิ่งมีชีวิตจาก "การอยู่รอดของผู้เหมาะสมที่สุด" ของ Empedocles และหัวเราะเยาะความคิดที่ว่าอุบัติเหตุสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นระเบียบ[34] เมื่อใช้คำสมัยใหม่ เขาไม่ได้กล่าวไว้ที่ใดว่าสปีชีส์ต่างชนิดกันมีบรรพบุรุษร่วมกันได้ หรือชนิดหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นอีกชนิดหนึ่งได้ หรือชนิดหนึ่งสามารถสูญพันธุ์ได้[35]
แอริสตอเติลไม่ได้ทำการทดลองในความหมายสมัยใหม่[36] เขาใช้คำภาษากรีกโบราณ pepeiramenoi ซึ่งหมายถึง การสังเกต หรืออย่างมากก็ใช้กระบวนการสอบส่วนอย่างการผ่าชันสูตร[37] เขาพบว่าไข่ของแม่ไก่ที่ผสมแล้วที่มีระยะที่เหมาะสม แล้วเปิดดูเห็นหัวใจของตัวอ่อนกำลังเต้นอยู่ภายใน[38][39]
เขาใช้ลีลาวิทยาศาสตร์อีกแบบหนึ่ง คือ การรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ การค้นหาแบบรูปที่พบร่วมในสัตว์ทั้งกลุ่ม และอนุมานคำอธิบายเชิงสาเหตุที่เป็นไปได้จากข้อค้นพบนั้น[40][41] ลีลานี้พบทั่วไปในชีววิทยาสมัยใหม่เมื่อมีข้อมูลปริมาณมากอยู่ในสาขาใหม่ เช่น จีโนมิกส์ (genomics) ทั้งนี้ วิธีนี้ไม่มีความแน่นอนแบบเดียวกับวิทยาศาสตร์เชิงทดลอง แต่สามารถได้สมมติฐานที่ทดสอบได้และสร้างคำอธิบายเชิงบรรยายเกี่ยวกับสิ่งที่สังเกตได้ ในความหมายนี้ ชีววิทยาของแอริสตอเติลก็เป็นวิทยาศาสตร์[40]
จากข้อมูลที่เขาเก็บรวบรวมและจดบันทึก แอริสตอเติลอนุมานกฎจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สิ่งมีชีวิตที่มีสัตว์สี่เท้าที่ออกลูกเป็นตัวที่เขาศึกษา คำทำนายที่ถูกต้องของเขา เช่น จำนวนลูกลดลงตามขนาดร่างกายของตัวเต็มวัย โดยช้างจะมีลูกเล็กจำนวนน้อยกว่าหนู อายุขัยของสัตว์เพิ่มขึ้นตามระยะมีครรภ์และขนาดร่างกาย โดยช้างจะมีอายุยืนกว่าหนู มีอายุครรภ์นานกว่าและตัวใหญ่กว่าด้วย ตัวอย่างสุดท้าย ความสามารถมีลูกลดลงตามอายุขัย ฉะนั้นสัตว์ที่อายุยืนอย่างช้างจะมีลูกรวมกันน้อยกว่าสัตว์อายุสั้นอย่างหนู[42]
แอริสตอเติลแยกสัตว์ประมาณ 500 สปีชีส์[44][45] โดยจัดเรียงตามมาตราความสมบูรณ์โดยแบ่งระดับ (scala naturae) โดยมีมนุษย์อยู่บนสุด ระบบของเขามีสัตว์ 11 ระดับ จากที่มีศักยภาพสูงสุดไปต่ำสุด โดยแสดงในรูปเมื่อเกิด ศักยภาพสูงสุดทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดมาตัวร้อนและเย็น ส่วนสัตว์ต่ำสุดมีไข่แห้งคล้ายแร่ธาตุ สัตว์เหนือกว่าพืข และพืชเหนือกว่าแร่ธาตุอีกทอดหนึ่ง[46][47] เขาจัดกลุ่มสัตว์ที่นักสัตววิทยาสมัยใหม่เรียกว่า สัตว์มีกระดูกสันหลัง ว่าเป็นสัตว์ตัวร้อน "มีเลือด" และต่ำกว่านั้นเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังตัวเย็นเป็น "สัตว์ไม่มีเลือด" สัตว์ที่มีเลือดยังแบ่งอีกเป็นสัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) และสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ (สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลานและปลา) สัตว์ที่ไม่มีเลือด ได้แก่ แมลง สัตว์พวกกุ้งกั้งปู ชั้นเซฟาโลพอด และมอลลัสกาเปลือกแข็ง เขาพบว่าสัตว์ไม่เข้ากับมาตราเส้นตรงเสียทีเดียว และหมายเหตุข้อยกเว้นต่าง ๆ เช่น ปลาฉลามมีรกเหมือนกับสัตว์สี่เท้า สำหรับนักชีววิทยาสมัยใหม่ คำอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวที่แอริสตอเติลไม่ทราบคือ วิวัฒนาการลู่ออก[48] เขาเชื่อว่าเหตุสุดท้ายที่เป็นจุดมุ่งหมายชี้นำกระบวนการธรรมชาติทั้งหมด ทัศนะอันตวิทยานี้ให้เหตุผลแก่ข้อมูลที่สังเกตได้ว่าเป็นการสำแดงซึ่งการออกแบบรูปนัย[49]
กลุ่ม | ตัวอย่าง (ของแอริสตอเติล) | เลือด | ขา | วิญญาณ (มีเหตุผล R, มีความรู้สึก S, นอกอำนาจจิตใจ V) | คุณสมบัติ (ร้อน–เย็น, เปียก–แห้ง) |
---|---|---|---|---|---|
มนุษย์ | มนุษย์ | มีเลือด | 2 ขา | R, S, V | ร้อน, เปียก |
สัตว์สี่ขาออกลูกเป็นตัว | แมว กระต่ายป่า | มีเลือด | 4 ขา | S, V | ร้อน, เปียก |
อันดับฐานวาฬและโลมา | โลมา, วาฬ | มีเลือด | ไม่มีขา | S, V | ร้อน, เปียก |
สัตว์ปีก | นกจาบคา, นกตบยุง | มีเลือด | 2 ขา | S, V | ร้อน, เปียก, ยกเว้นไข่ แห้ง |
สัตว์สี่เท้าออกลูกเป็นไข่ | กิ้งก่าคาเมเลี่ยน, จระเข้ | มีเลือด | 4 ขา | S, V | เย็น, เปียก ยกเว้นเกล็ด ไข่ |
งู | งูน้ำ งูแมวเซาออตโตมัน | มีเลือด | ไม่มีขา | S, V | เย็น, เปียก ยกเว้นเกล็ด ไข่ |
ปลาที่ออกลูกเป็นไข่ | ปลากระพง, ปลานกแก้ว | มีเลือด | ไม่มีข่ | S, V | เย็น, เปียก รวมไข่ |
(จัดรวมกับปลาที่ออกลูกเป็นไข่): ปลาฉลามมีรก | ปลาฉลาม, ปลาสเกต | มีเลือด | ไม่มีขา | S, V | เย็น, เปียก แต่มีรกเหมือนสัตว์สี่เท้า |
สัตว์พวกกุ้งกั้งปู | กุ้ง ปู | ไม่มีเลือด | ขาจำนวนมาก | S, V | เย็น, เปียก ยกเว้นเปลือก |
ชั้นเซฟาโลพอด | หมึกกล้วย, หมึก | ไม่มีเลือด | มีหนวด | S, V | เย็น, เปียก |
สัตว์เปลือกแข็ง | หอยแครง, หอยทรัมเป็ต | ไม่มีเลือด | ไม่มีขา | S, V | เย็น, แห้ง (เปลือกเป็นแร่ธาตุ) |
แมลงที่ออกลูกเป็นตัวอ่อน | มด, จั๊กจั่น | ไม่มีเลือด | 6 ขา | S, V | เย็น, แห้ง |
เกิดขึ้นเอง | ฟองน้ำ หนอน | ไม่มีเลือด | ไม่มีขา | S, V | เย็น, เปียก หรือ แห้ง เกิดจากพื้นโลก |
พืช | มะเดื่อ | ไม่มีเลือด | ไม่มีขา | V | เย็น, แห้ง |
แร่ธาตุ | เหล็ก | ไม่มีเลือด | ไม่มีขา | ไม่มี | เย็น, แห้ง |
เมนูนำทาง
แอริสตอเติล ปรัชญาธรรมชาติใกล้เคียง
แอริสตอเติล แอริน ยุกตะทัต แอร์สเทอ เอ็ฟเอ็สเฟา ไมนทซ์ 05 แอร์สเทอ เอ็ฟเซ ไคเซิร์สเลาเทิร์น แอรีส แอร์สเทอ เอ็ฟเซ เคิลน์ แอร์สเทอ เอ็ฟเซ อูนีโอนแบร์ลีน แอร์สเทอ เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค แอริกา ลัสต์ แอร์สยามแหล่งที่มา
WikiPedia: แอริสตอเติล https://www.independent.co.uk/arts-entertainment/b...