โรคริดสีดวงตา เรียกอย่างอื่นว่า
เยื่อตาอักเสบชนิดมีตุ่ม (granular conjunctivitis)
ตาอักเสบรุนแรงอียิปต์ (Egyptian ophthalmia)
[1] และ
โรคริดสีดวงตาขั้นถึงตาบอด (blinding trachoma) เป็นโรคติดเชื้ออันมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียชนิด
Chlamydia trachomatis[2] การติดเชื้อดังกล่าวเป็นสาเหตุให้เกิด
การหยาบขรุขระขึ้น ที่ผิวด้านในของเปลือกตา ซึ่งผิวที่หยาบขรุขระขึ้นสามารถนำไปสู่อาการเจ็บปวดในดวงตา เกิดการเสียสภาพของผิวด้านนอกหรือ
กระจกตา ของดวงตาและอาจจนถึงขั้น
ตาบอด[2]แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคดังกล่าวสามารถแพร่กระจายโดยการสัมผัสทางตรงและทางอ้อมกับตาหรือจมูกของผู้เป็นโรค
[2] การสัมผัสทางอ้อมนั้นรวมไปถึงการสัมผัสผ่านทางเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มหรือแมลงวันที่เกิดไปสัมผัสกับตาหรือจมูกของผู้เป็นโรค
[2] ปกติแล้ว ต้องเกิดการติดเชื้อหลายครั้งเป็นระยะเวลานานหลายปีก่อนจะถึงขั้นที่แผลเป็นที่เกิดบนเปลือกตาเป็นหนักจน
ขนตา เริ่มเสียดสีดวงตา
[2] เด็กจะแพร่กระจายโรคได้มากกว่าผู้ใหญ่
[2] ระบบสุขาภิบาลที่ไม่ดีนัก สภาพความเป็นอยู่ที่แออัด ขาดน้ำหรือห้องสุขาที่สะอาด เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายได้มากขึ้นเช่นกัน
[2]มีการพยายามหาหนทางต่าง ๆ ในอันที่จะป้องกันโรคดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงให้มีน้ำสะอาดใช้ ลดจำนวนผู้ที่ติดเชื้อโดยการรักษาด้วย
ยาปฏิชีวนะ[2] ซึ่งอาจรวมถึงการรักษากลุ่มคนที่โรคดังกล่าวเป็นที่ทราบว่าเป็นกันมาก โดยการรักษาทีเดียวพร้อมกัน
[3] ลำพังเฉพาะการชำระล้างให้สะอาดนั้นไม่เพียงพอที่จะป้องกันโรคได้ แต่อาจมีประโยชน์หากกระทำพร้อมกับมาตรการอื่น ๆ
[4] ทางเลือกในการรักษารวมไปถึงการให้
ยาอะซิโทรไมซิน ทางปากหรือ
ยาเททราไซคลีนเป็นยาป้ายภายนอก
[3] โดยยาอะซิโทรไมซินเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเนื่องจากสามารถใช้เป็นยาให้ทางปากเพียงครั้งเดียว
[5] หลังจากที่เกิดแผลเป็นที่เปลือกตา อาจจำเป็นต้องใช้ศัลยกรรมเพื่อตกแต่งตำแหน่งขนตาเสียใหม่และเพื่อป้องกันตาบอด
[2]ในโลกมีประมาณ 80 ล้านคนที่ยังไม่หายจากการติดเชื้อดังกล่าว
[6] ในบางพื้นที่อาจมีการติดเชื้อดังกล่าวมากถึงร้อยละ 60–90 ของจำนวนเด็กและยิ่งพบทั่วไปในหญิงมากกว่าชายอันเนื่องจากมีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับเด็ก ๆ
[2] โรคดังกล่าวเป็นสาเหตุทำให้คนเป็นจำนวนถึง 2.2 ล้านคนหย่อนสมรรถภาพในการมองเห็น ในจำนวนนั้นมี 1.2 ล้านคนที่ตาบอดสนิท
[2] เป็นโรคที่พบทั่วไปใน 53 ประเทศในทวีปต่าง ๆ คืออาฟริกา เอเชีย อเมริกากลางและอเมริกาใต้ โดยมีประมาณ 230 ล้านคนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคดังกล่าว
[2] ซึ่งเป็นผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
[2] โรคดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มโรคที่ทราบกันในชื่อว่า
โรคเขตร้อนที่ถูกละเลย[6]