ประวัติ ของ ไอทีวี

แนวคิดการก่อตั้งไอทีวี เกิดขึ้นในรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 เนื่องจากในขณะเกิดเหตุการณ์ สื่อโทรทัศน์ จำนวน 5 ช่อง ในขณะนั้น คือ ช่อง 3 ททบ.5 ช่อง 7 (BBTV) ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. สทท. มิได้รายงานข่าวเหตุการณ์นองเลือด ตามความเป็นจริง ประกอบกับมีเสียงเรียกร้องจากประชาชน ให้เปิดดำเนินการสถานีโทรทัศน์เสรี ในระบบยูเอชเอฟ เพื่อให้คนไทยมีโอกาสได้รับรู้ข่าวสารที่ถูกต้องเป็นกลางอย่างแท้จริง

สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) โดย นายมีชัย วีระไวทยะ ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลการเปิดสัมปทานสถานีโทรทัศน์ช่องใหม่ กำหนดเงื่อนไขของสัมปทานไว้ว่า ผู้รับสัมปทานจะต้องมีผู้ถือหุ้น 10 ราย แต่ละรายต้องมีสัดส่วนหุ้นที่เท่ากัน พร้อมกับแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อป้องกันการผูกขาด และมีสัดส่วนเนื้อหารายการข่าวและสาระ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 และรายการบันเทิงไม่เกินร้อยละ 30

บริษัทผู้เข้าประมูล มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่[1] คือ

ในปี พ.ศ. 2538 ผลการประมูล สรุปว่า กลุ่มบริษัท สยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับสัมปทานและได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ดำเนินงานบริหารสถานีฯ เป็นเวลา 30 ปี (สิ้นสุดวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2569) โดยให้ออกอากาศทางช่อง 26 จากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ค่าสัมปทาน 25,200 ล้านบาท จากราคากลาง 10,000 ล้านบาท และได้มีการลงนามในสัญญากับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 โดยมีนายอภิลาศ โอสถานนท์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงนามสัญญากับนายเกษม จาติกวณิช ประธานกรรมการ และนายโอฬาร ไชยประวัติ รองประธานกรรมการบริษัท สยาม อินโฟเทนเมนท์ จำกัด

ต่อมา ไอเอ็นเอ็น ดอกเบี้ย และตงฮั้วถอนตัวออกไป[2] กลุ่มสยามอินโฟเทนเมนท์ จึงดึงเครือเนชั่น คู่แข่งที่เข้าร่วมประมูลแต่ไม่ได้รับเลือก เข้าร่วมทุนด้วย​ ดังนั้นจึงมีผู้ร่วมทุนทั้งหมดประกอบด้วย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ผ่าน สหศินิมา) เนชั่น​ กันตนา​ วัฏจักร​ เดลินิวส์​ ล็อกซ์เลย์ บอนด์​ และ​ไจแอนท์​

โดยตั้งชื่อสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ว่า สถานีโทรทัศน์ไอทีวี (สถานีฯ) เริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 โดยวางนโยบาย ให้เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ให้ความสำคัญกับรายการข่าว และสถานการณ์ปัจจุบัน

และในปี พ.ศ. 2542 ไอทีวีได้เปลี่ยนแปลงช่องสัญญาณระบบยูเอชเอฟที่เป็นระบบเดียวกัน โดยเปลี่ยนจากการส่งสัญญาณช่อง 26 มาเป็นการส่งสัญญาณทางช่อง 29 ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ใหม่แล้วจากหน่วยงานรัฐบาล และช่องสัญญาณใหม่ดังกล่าวนั้นก็ยังคงใช้มาจนถึงยุคของทีไอทีวี และ ไทยพีบีเอส