ประวัติ ของ กฎของเมอร์ฟี

มีเหตุการณ์มากมายในจักรวาลที่มนุษย์เห็นว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผล อันเป็นสิ่งที่มนุษย์สนใจมายาวนานแล้ว พบเครื่องแสดงแนวคิดดังกล่าวก่อนหน้ากฎของเมอร์ฟี่ได้ไม่ยาก เช่น หนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งในนอร์วอล์ก รัฐโอไฮโอ ใน ค.ศ. 1841 ตีพิมพ์กลอนบทหนึ่ง ซึ่งเป็นการล้อเลียนกลอนในหนังสือ Lalla-Rookh ของทอมัส มัวร์[1]:

I never had a slice of bread,
Particularly large and wide,
That did not fall upon the floor,
And always on the buttered side.[2]

ฉันไม่เคยกินขนมปังแผ่น
โดยเฉพาะที่ใหญ่และกว้าง
ซึ่งไม่ได้ตกลงบนพื้น
และหันเอาด้านทาเนยลงเสมอ

จากการศึกษาใหม่ในของเขตดังกล่าว มักได้มาจากสมาชิกสมาคมภาษาถิ่นอเมริกัน (American Dialect Society) สมาชิกสมาคมคนหนึ่งชื่อ สตีเฟน โกเรนสัน พบอีกรูปแบบหนึ่งของกฎดังกล่าว แต่ขณะนั้นยังไม่พบใช้กันหรือชื่อเรียกทั่วไป ดังที่ปรากฏในการประชุมสมาคมวิศวกรรม ค.ศ. 1877 ซึ่งรายงานโดยอัลเฟรด ฮอลต์:

ค้นพบแล้วว่าเหตุผิดพลาดทุกอย่างซึ่งเกิดขึ้นได้ในทะเลมักเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ฉะนั้น นั่นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเจ้าของมักมองความปลอดภัยไปในทางวิทยาศาสตร์มากกว่า... ความฉุกเฉินอันเกินขึ้นนั้นมักเด่นขึ้นจากความเรียบง่ายของมัน ไม่อาจละเลยปัจจัยของมนุษย์ได้ในการวางแผนเครื่องกลไก หากการพิจารณาถือเป็นการบรรลุได้ เครื่องจักรนั้นก็จำเป็นต้องมีวิศวกรเอาใจใส่มันอย่างดี[3]

สมาชิกสมาคมอีกคนหนึ่ง บิล มัลลินส์ (Bill Mullins) พบอีกรูปแบบหนึ่งของกฎที่มีชื่อเสียงกว่าแบบแรกอยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นพังเพยที่พาดพิงการแสดงมายากล โดยนักมายากลชาวอังกฤษ เนวิลล์ มัสคีลีน (Nevil Maskelyne) ซึ่งเขียนไว้ใน ค.ศ. 1908 ว่า:

มันเป็นประสบการณ์สำหรับมนุษย์ทั่วไปที่จะพบว่า ในทุกโอกาส อย่างเช่น การแสดงปรากฏการณ์มายากลครั้งแรกในที่สาธารณะ หากสิ่งใดมีโอกาสผิดพลาด มันจะผิดพลาด เราต้องพยายามหาเหตุผลต่อความร้ายกาจจากสถานการณ์นี้ หรือความเลวทรามของสิ่งไม่มีชีวิตนี้ และแม้ว่าเหตุจากความตื่นเต้นนั้นจะมาจากความหิว ความวิตกกังวล หรืออาจมิใช่ก็ตาม ความจริงก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่เช่นเดิม[4]

กฎของเมอร์ฟีสมัยใหม่เกิดขึ้นก่อน ค.ศ. 1952 ในหนังสือปีนเขา ซึ่งเขียนขึ้นโดย แจ็ค แซ็ค ผู้ซึ่งอธิบายว่ากฎดังกล่าวเป็น "กฎการปีนเขานับตั้งแต่สมัยโบราณ" ว่า:

ทุกสิ่งที่ผิดได้ผิด (Anything that can possibly go wrong, does.)[5]

เฟรด อาร์. ชาพีโร บรรณาธิการของ The Yale Book of Quotations ยังได้ปรากฏภาษิตนี้ในปี ค.ศ. 1952 ซึ่งได้ถูกเรียกว่า "กฎของเมอร์ฟี" ในหนังสือของแอน โรล์ (Anne Roe) ซึ่งอ้างคำพูดจากนักฟิสิกส์คนหนึ่งว่า:

รอบตัวเรามีเหตุการณ์อันน่ายินดีอย่างไม่ปกติอยู่เสมอ อย่างเช่น มีนักฟิสิกส์ผู้หนึ่งได้มาแนะนำให้รู้จักกับ "กฎ" ที่ผมชื่นชอบมาก ซึ่งเขาอธิบายว่ามันเป็น "กฎของเมอร์ฟี หรือกฎข้อที่สี่ของเทอร์โมไดนามิกส์ (ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก่อนหน้านั้นผมเคยได้ยินมาแค่สาม) และมีใจความว่า "ถ้าทุกสิ่งผิดได้ จะเกิดขึ้น" (If anything can go wrong, it will.)[6]

ทว่าชื่อ กฎของเมอร์ฟี นั้นมิได้เป็นชื่อเดียวที่ใช้กัน พบว่าจาก Astounding Science Fiction ของจอร์จ สไตน์ (George Harry Stine) ได้ให้ชื่อว่า "กฎของรีลลี" (Reilly's Law) ซึ่งกล่าวถึงความพยายามทางวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมใด ๆ หากสิ่งใดมีโอกาสผิด มันจะผิด"[7] หรือประธานคณะกรรมการพลังงานปรมาณู ลูอิส สแตรส (Lewis Strauss) ได้ยกคำพูดลงใน Chicago Daily Tribune เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 โดยระบุว่า "ผมหวังว่ากฎนี้จะชื่อว่ากฎของสแตรส ซึ่งมีใจความว่า: หากอะไรแย่ ๆ มีโอกาสเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้น"[8]

แหล่งที่มา

WikiPedia: กฎของเมอร์ฟี http://bi-guru.ca/portal/modules/news/article.php?... http://ourworld.compuserve.com/homepages/rajm/toas... http://www.improb.com/airchives/paperair/volume9/v... http://www.military-quotes.com/murphy.htm http://www.murphys-laws.com/murphy/murphy-true.htm... http://www.norwalkreflector.com/ http://www.xs4all.nl/~jcdverha/scijokes/9_6.html http://catb.org/~esr/jargon/html/M/Murphys-Law.htm... //doi.org/10.1088%2F0143-0807%2F16%2F4%2F005 http://listserv.linguistlist.org/cgi-bin/wa?A2=ind...