เบื้องหลัง ของ กบฏ_ร.ศ._130

กองทัพเป็นหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณแผ่นดินมากที่สุดตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รายจ่ายด้านการป้องกันประเทศพุ่งสูงขึ้นจากการขยายขนาดกองทัพและการจัดระเบียบราชการ คิดเป็นร้อยละ 24.3 ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนาประเทศด้านเกษตรกรรม การศึกษา และการพาณิชย์ คิดเป็นเพียงร้อยละ 3.2, 2.6 และ 0.1 ตามลำดับ[1] แม้ข้าราชการและเสนาบดีบางส่วนได้เสนอให้เน้นความสำคัญด้านการพัฒนาเศรษฐกิจก่อน แต่รัฐบาลสยามที่เต็มไปด้วยขุนนางอนุรักษ์นิยมยังคงมีอติต่อการรับเงินทุนและให้สัมปทานกับต่างประเทศ ทำให้เงินทุนในสยามมีน้อย ประชากรส่วนใหญ่จึงยังยากจน ประกอบด้วยพระอุปนิสัยใช้จ่ายเงินเกินจำเป็นของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ยิ่งทำให้ความนิยมในองค์กษัตริย์ตกต่ำ

สภาวะข้างต้นได้สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มนายร้อยจบใหม่ นายทหารเหล่านี้ไม่พอใจในความด้อยพัฒนาของประเทศชาติ มองว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นต้นเหตุ พระมงกุฎเกล้าเองก็ไม่ได้มีบารมีมากพอที่จะคุมเหล่าข้าราชการทหาร เนื่องจากบรรดานายทหารเหล่านั้นต่างภักดีต่อเสนาบดี ผู้บังคับบัญชา และอาจารย์ของตนมากกว่า ความที่พระมงกุฎเกล้าทรงโปรดการเล่นโขนเล่นละคร และมีความใกล้ชิดกับเหล่ามหาดเล็กอย่างออกนอกหน้า ทำให้มหาดเล็กเป็นหน่วยราชการที่เติบโตและได้ดิบได้ดีอย่างรวดเร็วกว่าข้าราชการหน่วยอื่น แต่ละปีมีมหาดเล็กได้เลื่อนบรรดาศักดิ์มากกว่านายทหาร ข่าวการพระราชทานเงินถุงวันเกิดจำนวน 100 ชั่งให้แก่เจ้าพระยารามราฆพ ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากทหารว่า "พระเจ้าแผ่นดินรักคนใช้มากดีไหม...ให้เงินทีตั้ง 100 ชั่ง หมายความว่ากระไร... พระเจ้าแผ่นดินเอาแต่เล่นโขน เอาเงินมาสร้างบ้านซื้อรถให้มหาดเล็ก...ทำไมพระราชาองค์นี้จึงโปรดมหาดเล็ก แต่ผู้หญิงไม่ชอบเลย"[2]

พระมงกุฎเกล้าทรงทราบดีว่าพระองค์ขาดความนิยมในหมู่ข้าราชการ จึงทรงตั้งกองเสือป่าขึ้นในพ.ศ. 2454 เพื่อขยายเครือข่ายราชสำนักเข้าไปสู่ระบบราชการ เป็นการใช้ระบบอุปถัมภ์เพื่อให้กษัตริย์สามารถเชื่อมต่อกับข้าราชการโดยตรง[3] โดยอ้างว่าเป็นกำลังหนุนให้กองทัพ แต่เสือป่ากลับกลายเป็นสถาบันที่เบียดเบียนทั้งบทบาทและงบประมาณกองทัพ[3] การซ้อมรบระหว่างเสือป่ากับกองทัพก็หาได้เป็นการฝึกความชำนาญการรบอย่างจริงจัง เป็นไปเพื่อสร้างความสำราญให้แก่พระมงกุฎเกล้าที่ทรงคุมกองเสือป่าหลวงและชนะอยู่เสมอ แถมในช่วงแรก อาวุธของกองเสือป่าก็ถึงกับต้องยืมจากกองทัพบก ต่อมาจึงใช้เงินพระคลังข้างที่จัดซื้อ[4] การเพิ่มขึ้นของเสือป่าได้แทรกแซงระบบราชการ มีการเรียกข้าราชการที่เป็นสมาชิกเสือป่าไปซ้อมรบทำให้ขาดจากงานราชการปกติ หรือการใช้งบประมาณแผ่นดินมาอุดหนุนเสือป่า

เอกสารที่เขียนโดยร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ "บันทึกเรื่องความเสื่อมทรามและความเจริญของประเทศ" ได้ระบุไว้ว่า:

คนสอพลอนั้นมีอยู่ 2 จำพวก จำพวกหนึ่งทำการให้กษัตริย์โดยตรง ดังเช่นข้าทาสแลพวกบริวารของกษัตริย์เป็นต้น อีกจำพวกหนึ่งนั้นถึงแม้ว่าจะมีหน้าที่ตั้งแต่งให้ทำงานสำหรับรัฐบาลก็จริง แต่เอาเวลาไปใช้ในทางสอพลอเสียหมด ส่วนการที่ออฟฟิซนั้น ถึงแม้ว่าจะบกพร่องแลเสียหายอย่างไรก็ไม่ต้องคิด ขอแต่ให้ได้ใกล้ชิดกลิ้งเกลือกอยู่กับฝ่าบาทก็แล้วกัน ความดีความชอบจะไปข้างไหนเสีย ประเดี๋ยวได้ลาภประเดี๋ยวได้ยศ ฝ่ายพวกที่มัวหลงทำการอยู่ยังออฟฟิซก็ต้องอดโซไปตามกัน บางคนก็ติเตียนว่าคนเหล่านี้โง่ ไม่รู้จักหาความดีความชอบใส่ตัว มัวนั่งมุดหัวอยู่แต่ที่ออฟฟิซ[5]

ข้อความข้างต้นสะท้อนความคับแค้นที่มีต่อเหล่าข้าราชสำนักเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเขียนวิจารณ์ความชั่วร้ายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ว่า:

กษัตริย์จะกระทำการชั่วร้ายอย่างหนึ่งอย่างใดก็ทำได้ เพราะไม่มีใครขัดขวาง กษัตริย์จะกดขี่แลเบียดเบียนราษฎรให้ได้ความทุกข์ยากด้วยประการหน่งประการใดทุกอย่าง ราษฎรที่ไม่มีความผิดกษัตริย์จะเอามาเฆี่ยนตีหรือฆ่าฟันแลจองจาได้ตามความพอใจ ทรัพย์สมบัติแลท่ดินของราษฎรนั้นกษัตริย์จะเบียดเบียนเอามาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวได้โดยไม่มีขีดขั้น เช่นอย่างไล่ที่ทำวังเป็นต้น เงินประโยชน์สำหรับแผ่นดินที่เก็บได้มานั้น กษัตริย์จะรวบรวมเอามาบำรุงความศุขแลความรื่นเริงในส่วนตัวส่วนพระญาติวงษ์หรือกอบโกยให้ข้าทาสบ่าว แลเอามาบำเรอพวกประจบประแจงสอพลอมากน้อยเท่าใดก็ได้โดยไม่มีขีดขั้น เพราะฉน้นเงินที่ใช้ในการบำรุงบ้านเมืองจึงไม่มีเหลือ[5]

เหตุเฆี่ยนตีที่ระบุในเอกสารดังกล่าว เกิดขึ้นในสมัยที่พระมงกุฎเกล้ายังทรงดำรงพระยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ที่เมื่อทหารชั้นนายดาบคนหนึ่งสังกัดกรมทหารราบที่ 2 แต่งนอกเครื่องแบบออกไปเที่ยวแถวสะพานมัฆวานฯ แล้วเกิดผิดใจกับมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมฯเกี่ยวกับแม่ค้าขายหมาก ถูกมหาดเล็กตีศีรษะ จึงวิ่งไปรายงาน ร้อยเอกโสม ผู้บังคับกองร้อย ขณะเดียวกันมหาดเล็กคนนั้นก็ยังตามไปร้องท้าอยู่หน้ากรม ร้อยเอกโสมกับนายดาบผู้ถูกตีและยังมีนายร้อยตรีอีกคนจึงออกไปหักกิ่งต้นก้ามปูหน้ากรมไล่ตีมหาดเล็กผู้มาร้องท้า ขณะที่กำลังชุลมุนอยู่นั้นพลทหารอีกสองคนมาเห็นเข้าจึงเข้าสมทบด้วย มหาดเล็กสู้ไม่ได้จึงวิ่งหนีเข้าวังปารุสไปทูลฟ้องสมเด็จพระบรมฯ จึงทรงรับสั่งให้ผู้บังคับการกรมสอบสวน ร้อยเอกโสมก็รับสารภาพ พระองค์จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูนพระบรมชนกให้ทรงเฆี่ยนหลังทหารเหล่านั้น แต่พระบรมชนกไม่ทรงเห็นชอบ ทั้งเจ้านายผู้ใหญ่หลายพระองค์ เช่น กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ก็ไม่ทรงเห็นด้วย เพราะการเฆี่ยนหลังเป็นจารีตนครบาลที่เลิกใช้ไปแล้ว ควรใช้กฎหมายอาญาที่ประกาศใช้อยู่ แต่สมเด็จพระบรมฯไม่ยอม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงจำพระทัยต้องอนุมัติให้เฆี่ยนตามที่ทูลขอ ปรากฏว่าคนถูกเฆี่ยนหลังเลือดอาบ ร้อยเอกโสมถึงกับสลบคาขื่อ เรื่องนี้สร้างความกระเทือนไปทั้งหน่วยทหารในพระนคร นักเรียนนายร้อยทหารบกหยุดเรียนเพื่อประท้วง กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ต้องพยายามปลอบโยนและไกล่เกลี่ยเรื่องจึงสงบลงได้ แต่ในใจนั้นเป็นความขมขื่นของทหารหลายคน