กองทัพอากาศแอฟริกาใต้[2] กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา (เฉพาะวันที่ 18 กันยายน)
กองทัพโปแลนด์ที่ 1 (จากวันที่ 14 กันยายน)
[1] กองทัพอากาศโซเวียต (จากวันที่ 13 กันยายน)
ซึกมุนต์ แบร์ลินก์ คอนสตันติน โรคอสซอฟสกี(initially)5,000
WIA[7] 15,000
POW[7] Berling 1st Army: 5,660 casualties
[7]การก่อการกำเริบวอร์ซอ(
โปแลนด์: powstanie warszawskie;
เยอรมัน: Warschauer Aufstand) เป็นปฏิบัติการครั้งสำคัญในสมัย
สงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1944 โดยฝ่ายต่อต้านใต้ดินโปลิช ภายใต้การนำโดย
กองทัพบ้านเกิด(
โปแลนด์: Armia Krajowa) เพื่อปลดปล่อย
กรุงวอร์ซอจากการยึดครองของเยอรมัน การก่อการกำเริบครั้งนี้ได้ประจวบกับการล่าถอยของกองทัพเยอรมันจากโปแลนด์ก่อนที่การรุกของโซเวียตจะมาถึง ในขณะที่ได้เข้าใกล้ชานเมืองทางตะวันออกของเมือง กองทัพแดงได้หยุดปฏิบัติการรบเพียงชั่วคราว ทำให้เยอรมันสามารถรวบรวมกองกำลังใหม่และปราบปรามฝ่ายต่อต้านโปแลนด์และทำลายล้างเมืองเพื่อล้างแค้น การก่อการกำเริบครั้งนี้ได้ต่อสู้รบเป็นเวลา 36 วันด้วยการสนับสนุนจากภายนอกเล็กน้อย มันเป็นความพยายามทางทหารที่ใหญ่ที่สุดที่ดำเนินเพียงลำพังโดยขบวนการต่อต้านของยุโรปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การก่อการกำเริบครั้งนี้ได้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ปี 1944 เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเทมเพสท์ที่ก่อการทั่วทั้งประเทศ เปิดฉากพร้อมเดียวกับช่วง
การรุกลูบลิน-เบรสต์ของโซเวียต เป้าหมายหลักของโปลคือขับไล่เยอรมันออกไปจากวอร์ซอ ในขณะที่ได้ช่วยให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเอาชนะเยอรมนีได้สำเร็จ ส่วนที่เพิ่มเติม, เป้าหมายทางการเมืองของรัฐใต้ดินโปแลนด์คือการปลดปล่อยเมืองหลวงของโปแลนด์และยืนยันอำนาจอธิปไตยของโปแลนด์ก่อนที่
คณะกรรมาธิการแห่งชาติเพื่อการปลดปล่อยโปแลนด์ที่ได้รับการสนับสนุนจากโซเวียตจะเข้ามาควบคุม ด้วยสาเหตุอื่นๆถัดมา รวมถึงภัยคุกกคามของมวลชนชาวเยอรมันได้ไล่ต้อนชาวโปลที่ร่างกายแข็งแรงสำหรับ"การอพยพ" ที่ถูกเรียกโดยวิทยุมอสโกของราชการโปแลนด์สำหรับการก่อการกำเริบและความต้องการทางอารมณ์ของโปลแลนด์เพื่อความยุติธรรมและการล้างแค้นต่อศัตรูหลังห้าปีที่ถูกเยอรมันยึดครอง ในช่วงแรก, โปลได้จัดตั้งการควบคุมบนพื้นที่ส่วนใหญ่ในส่วงกลางของวอร์ซอ แต่โซเวียตได้เพิกเฉยต่อความพยายามของโปลในการติดต่อทางวิทยุกับพวกเขาและไม่รุกคืบเกินขอบเขตของเมือง การต่อสู้รบกันบนถนนอย่างดุเดือดระหว่างเยอรมันและโปแลนด์ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อวันที่ 14 กันยายน ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำวิสตูลาตรงข้ามกับตำแหน่งฝ่ายต่อต้านโปลที่ยึดครองโดยทหารโปแลนด์ที่ต่อสู้ภายใต้การบังคับบัญชาของโซเวียต 1,200 นายได้ก้าวข้ามแม่น้ำ แต่พวกเขาไม่ได้รับการเสริมกำลังโดย
กองทัพแดง ด้วยเหตุนี้และขาดการสนับสนุนทางอากาศจากฐานทัพโซเวียตที่ใช้เวลาบินภายใน 5 นาที นำไปสู่การกล่าวหาว่า
โจเซฟ สตาลินได้สั่งให้กองกำลังของเขาหยุดอย่างมีชั้นเชิงเพื่อให้ปฏิบัติการล้มเหลวและทำให้ฝ่ายโปแลนด์ถูกบดขยี้ Arthur Koestler ได้เรียกท่าทีของโซเวียตว่า "หนึ่งในความอัปยศครั้งใหญ่ของสงครามครั้งนี้ซึ่งจะจัดอันดับให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตในระดับศีลธรรมเดียวกับลิดยิตแซ"
วินสตัน เชอร์ชิลได้ขอร้องกับ
โจเซฟ สตาลินและ
แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ได้ช่วยเหลือแก่โปแลนด์ พันธมิตรของบริเตนแต่ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด จากนั้น, ด้วยปราศจากการเคลียร์ทางอากาศของโซเวียต เชอร์ชิลได้ส่งสัมภาระที่ความสูงระดับต่ำกว่า 200 ฟุตโดยกองทัพอากาศหลวง กองทัพอากาศแอฟริกาใต้ และกองทัพอากาศโปแลนด์ ภายใต้การบัญชาการของอังกฤษ ในปฏิบัติการได้เป็นที่รู้จักกันคือ การขนส่งทางอากาศวอร์ซอ ต่อมา,หลังได้รับการเคลียร์ทางอากาศของโซเวียต กองทัพอากาศสหรัฐได้ส่งสัมภาระจำนวนมากในความสูงระดับหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ Franticแม้ว่าจะไม่ทราบจำนวนผู้เสียชีวิตที่แน่นอน แต่ก็ได้มีการคาดการณ์ว่ามีสมาชิกของกลุ่มต่อต้านโปลประมาณ 16,000 คนถูกฆ่าตายและบาดเจ็บประมาณ 6,000 คน ในส่วนที่เพิ่มเติม, จำนวนพลเมืองระหว่าง 150,000 และ 200,000 คนล้วนเสียชีวิต ส่วนใหญ่เกิดจากการประหารชีวิตหมู่ ชาวยิวที่ถูกหลบซ่อนโดยชาวโปลได้ถูกเปิดเผยโดยการค้นทั่วบ้านต่อบ้านของเยอรมันและการขับไล่มวลชนในละแวกที่ใกล้เคียงทั้งหมด เยอรมันสูญเสียทหารไปทั้งหมดกว่า 17,000 นายที่ถูกฆ่าตายและสูญหาย ในช่วงระหว่างการสู้รบในเมือง อาคารของกรุงวอร์ซอได้ถูกทำลายประมาณ 25% หลังการยอมจำนวนของกองกำลังโปแลนด์ ทหารเยอรมันได้ทำลายเพิ่มอีกเป็น 35% ของเมืองโดยบล็อกต่อบล็อกอย่างเป็นระบบ เมื่อรวมกับความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ใน
การบุกครองโปแลนด์ ปี ค.ศ. 1939 และ
การก่อการกำเริบวอร์ซอเกตโต ปี ค.ศ. 1943 เมือง 85% ได้ถูกทำลายโดยเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 ช่วงเวลาของเหตุการณ์ในแนวรบด้านตะวันออกได้บีบบังคับเยอรมันต้องละทิ้งเมือง