แฟรงกลิน_ดี._โรสเวลต์
แฟรงกลิน_ดี._โรสเวลต์

แฟรงกลิน_ดี._โรสเวลต์

บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่งแฟรงกลิน เดลาโน โรสเวลต์ (อังกฤษ: Franklin Delano Roosevelt)(/ˈrzəvəlt/,[1] /ʔvɛlt/;[2] 30 มกราคม ค.ศ. 1882 – 12 เมษายน ค.ศ. 1945), มักจะเรียกเป็นคำย่อว่า เอฟดีอาร์(FDR) เป็นรัฐบุรุษและผู้นำทางการเมืองชาวอเมริกันที่ทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 32 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1945 สมาชิกพรรคเดโมแครต เขาได้รับชนะการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถึงสี่ครั้งและกลายเป็นบุคคลสำคัญในเหตุการณ์ของโลกในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 โรสเวลต์ได้ชี้นำกับรัฐบาลสหรัฐในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ได้นำสัญญาใหม่ของเขามาใช้ในวาระการประชุมภายในประเทศเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ในฐานะที่เป็นผู้นำที่โดดเด่นของพรรคตนเอง เขาได้จัดตั้งการร่วมมือสัญญาใหม่(New Deal Coalition) ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนทางการเมืองอเมริกามาเป็นระบบห้าพรรค(Fifth Party System) และนิยามฝ่ายเสรีนิยม​ชาวอเมริกันมาโดยตลอดในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ในวาระในการดำรงตำแหน่งที่สามและสี่ของเขานั้นถูกครอบงำโดยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเพิ่งจะยุติลงได้ไม่นานหลังจากที่เขาถึงแก่อสัญกรรมในที่ทำงาน เขาได้รับคำวิจารณ์ในเรื่องประเด็นต่างๆเอาไว้มากมาย เขาได้รับการจัดอันดับโดยนักวิชาการว่าเป็นหนึ่งในสามประธานาธิบดีแห่งสหรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พร้อมกับจอร์จ วอชิงตันและอับราฮัม ลินคอล์นโรสเวลต์เกิดในไฮย์ ปาร์ค รัฐนิวยอร์ก ในครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายดัตช์ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ ธีโอดอร์ โรสเวลต์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 26 และวิลเลียม เฮนรี แอสปินวอลล์(William Henry Aspinwall) แฟรงกลิน เดลาโน โรสเวลต์ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนกรอตัน วิลยาลัยฮาร์วาด์ และโรงเรียนกฎหมายโคลัมเบีย และได้ไปซักซ้อมทางด้านกฎหมายในนครนิวยอร์ก ในปี ค.ศ. 1905 เขาได้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ย้ายออกไปคือ เอเลนอร์ โรสเวลต์ พวกเขามีลูกถึงหกคน ซึ่งมีเพียงแค่ห้าคนที่รอดชีวิตจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งวุฒิสภาแห่งรัฐนิวยอร์กในปี ค.ศ. 1910 และหลังจากนั้นได้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการแห่งกองทัพเรือภายใต้การนำโดยประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โรสเวลต์เป็นคู่หูกับเจมส์ เอ็ม ค็อกซ์ที่เข้าแข่งขันบนตั๋วแห่งชาติของพรรคเดโมแครต ปี ค.ศ. 1920 แต่ค็อกซ์พ่ายแพ่ให้กับ Warren G. Harding ฝ่ายพรรคริพับลิกัน ในปี ค.ศ. 1921 โรสเวลต์ได้มีอาการป่วยเป็นอัมพาตครึ่งท่อนที่มีความเชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นโรคโปลิโอ และขาของเขาได้กลายเป็นอัมพาตอย่างถาวร ในขณะที่เขาได้พยายามที่จะฟื้นฟูจากสภาพอย่างนั้น โรสเวลต์ได้ก่อตั้งศูนย์บำบัดในเมืองวอร์มสปิรงส์ รัฐจอร์เจีย สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคโปลิโอ ในสภาพที่ไม่สามารถเดินได้โดยเพียงลำพัง โรสเวลต์ได้เดินทางกลับไปที่สำนักงานสาธารณะด้วยการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งรับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กในปี ค.ศ. 1928 เขาได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929 ถึง 1933 และทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการปฏิรูป ได้นำเสนอโครงการต่างๆเพื่อต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ปี ค.ศ. 1932 โรสเวลต์ได้รับชัยชนะเหนือประธานาธิบดี เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ จากฝ่ายพรรคริพับลิกันอย่างถล่มทลาย โรสเวลต์ได้เข้ารับตำแหน่งในขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังตกอยู่ในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ วิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งได้เพียงร้อยวันในการประชุมสภาคองเกรสสหรัฐครั้งที่ 73 โรสเวลต์ได้กลายเป็นหัวหอกในการออกกฎหมายของสหรัฐอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและได้ออกคำสั่งแก่ฝ่ายผู้บริหารจำนวนมาก เมื่อได้จัดตั้งสัญญาใหม่ โครงการต่างๆมากมายที่ถูกออกแบบมาเพื่อการบรรเทา ฟื้นฟู และการปฏิรูป เขาได้สร้างโครงการต่างๆมากมายเพื่อช่วยเหลือบรรเทาแก่ผู้ว่างงานและเกษตรกร ในขณะที่กำลังหาทางการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจด้วยฝ่ายบริหารการฟื้นฟูแห่งชาติ(National Recovery Administration)และโครงการอื่นๆ นอกจากนี้เขายังได้ทำการปฏิรูปทางด้านกฏระเบียบที่สำคัญเกี่ยวกับการเงิน การสื่อสาร และแรงงาน และปกครองในช่วงปลายของยุคต้องห้ามสุรา เขาได้กำกับควบคุมรายการวิทยุเพื่อที่จะได้พูดให้กับประชาชนชาวอเมริกันโดยตรง ด้วยการให้ที่อยู่ของสถานีวิทยุ"fireside chat" 30 แห่งในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และกลายเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนแรกที่ได้รับการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เศรษฐกิจได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 ถึง 1936 โรสเวลต์ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 1936 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี ค.ศ. 1937 และ 1938 ภายหลังการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1936 โรสเวลต์ได้พยายามหาทางในกระบวนการแต่งตั้งผู้พิพากษา ปี ค.ศ. 1937(Judicial Procedures Reform Bill 1937)("แผนการบรรจุผู้พิพากษา") ซึ่งจะมีการขยายขนาดของศาลสูงสุดสหรัฐ สองพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ร่วมมือกันที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1937 ได้เข้าขัดขวางกระบวนการการจ่ายเงินและปิดกั้นการดำเนินงานของโครงการสัญญาใหม่และการปฏิรูปที่กำลังไปได้ไกล โครงการและกฎหมายที่สำคัญที่เหลือรอดซึ่งดำเนินการภายใต้การนำของโรสเวลต์ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(Securities and Exchange Commission) กฎหมายแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ(National Labor Relations Act) บริษัท์ค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง(Federal Deposit Insurance Corporation) และประกันสังคม(Social Security) โรสเวลต์ได้ประสบความสำเร็จอีกครั้งในการเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 1940 ด้วยชัยชนะของเขาทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งได้มากกว่าสองวาระ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่ได้ปรากฏเป็นลางๆในช่วงปี ค.ศ. 1938 โรสเวลต์ได้ให้การสนับสนุนทางการทูตและการเงินที่แข็งแกร่งแก่จีน สหราชอาณาจักร และท้ายที่สุดคือสหภาพโซเวียต ในขณะที่สหรัฐยังคงวางตัวเป็นกลางจากสงครามอย่างเป็นทางการ ภายหลังจากญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เหตุการณ์นี้ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงจากคำกล่าวสุนทรพจน์ของเขาว่า "วันซึ่งที่จะมีชีวิตอยู่ในความอัปยศ"("a date which will live in infamy") โรสเวลต์ได้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในรัฐสภาและอีกไม่กี่วันต่อมาก็ประกาศสงครามกับเยอรมนีและอิตาลี ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ช่วยระดับชั้นนำของเขา แฮร์รี่ ฮอปกิ้น และด้วยการสนับสนุนแห่งชาติที่แข็งแกร่งมาก เขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร วินสตัน เชอร์ชิล ผู้นำโซเวียต โจเซฟ สตาลิน และจอมทัพแห่งกองทัพจีน เจียง ไคเชก ในบทบาทเป็นผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรในการต่อสู้รบกับฝ่ายอักษะ โรสเวลต์ได้กำกับดูแลในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของสหรัฐ เพื่อสนับสนุนความพยายามในการทำสงคราม และยุทธ์ศาสตร์ครั้งแรกในทวีปยุโรปได้ประสบความสำเร็จซึ่งทำให้เยอรมนีต้องพ่ายแพ้ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าญี่ปุ่น นอกจากนี้เขายังได้ริเริ่มการพัฒนาระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกและทำงานร่วมกับผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรคนอื่นๆเพื่อวางรากฐานสำหรับองค์กรสหประชาชาติและสถาบันอื่นๆในช่วงหลังสงคราม โรสเวลต์ได้รับชัยชนะอีกครั้งในการเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 1944 แต่สุขภาพร่างกายของเขาได้ถดถอยลงในช่วงสงคราม เขาได้ถึงแก่อสัญกรรมในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 เขาได้ดำรงตำแหน่งได้แค่เพียง 11 สัปดาห์ในวาระที่สี่ของเขา ฝ่ายอักษะได้ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงเดือนต่อมาหลังจากที่โรสเวลต์ถึงแก่อสัญกรรม ในช่วงที่ตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นได้ตกเป็นของแฮร์รี เอส. ทรูแมน

แฟรงกลิน_ดี._โรสเวลต์

รองประธานาธิบดี จอห์น แนนซ์ การ์เนอร์ (1933–1941),
เฮนรี่ เอ. วอลเลซ (1941–1945),
แฮร์รี เอส. ทรูแมน (1945)
ลายมือชื่อ
คู่สมรส เอเลนอร์ โรสเวลต์
รอง เฮอร์เบิร์ต เอช. เลห์แมน
ก่อนหน้า อัลเฟรด อี. สมิธ
พรรคการเมือง พรรคเดโมแครต
เกิด 30 มกราคม พ.ศ. 2425
ไฮย์ ปาร์ค รัฐนิวยอร์ก
ถัดไป เฮอร์เบิร์ต เอช. เลห์แมน
ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน
วิชาชีพ ทนายความ
เสียชีวิต 12 เมษายน พ.ศ. 2488 (อายุ 63 ปี)
วอร์ม สปริงส์ รัฐจอร์เจีย
ศาสนา คริสต์ เอพิสโคเพเลียน