การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์มีเนีย (
อังกฤษ: Armenian Genocide) (
อาร์มีเนีย: Հայոց ցեղասպանություն,
[note 2] Hayots tseghaspanutyun) (ยังเป็นที่รู้จักกันอีกอย่างว่า
ฮอโลคอสต์ของอาร์มีเนีย)
[7] เป็นการสังหารหมู่อย่างเป็นระบบและทำการขับไล่เนรเทศ
ชนเชื้อชาติอาร์มีเนียจำนวนประมาณ 1.5 ล้านคน ที่ดำเนินในตุรกีและดินแดนภูมิภาคที่อยู่ติดกันโดยรัฐบาลออตโตมันในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1914 และ ค.ศ. 1923
[8][9] วันแห่งการเริ่มต้นจะถูกจัดตั้งขึ้นโดยไม่เป็นไปตามแผน เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1915 วันที่เจ้าหน้าที่ออตโตมันได้ทำการไล่ต้อน จับกุม และเนรเทศออกไปจาก
กรุงอิสตันบูลไปยังภูมิภาคอังโกรา(
อังการา) กลุ่มปัญญาชนและผู้นำชุมชนชาวอาร์มีเนียประมาณ 235 คน ถึง 270 คน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนถูกสังหารในที่สุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ถูกดำเนินในช่วงระหว่างและหลัง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และดำเนินการในขั้นที่สอง - การสังหารประชากรชายฉกรรจ์จนหมดสิ้นผ่านทางสังหารหมู่ และการเกณฑ์ทหารของกองทัพเพื่อบังคับใช้แรงงาน ตามมาด้วยการเนรเทศสตรี เด็ก ผู้สูงวัย และผู้ทุพพลภาพด้วยการเดินขบวนแห่งความตายที่นำไปสู่
ทะเลทรายซีเรีย การเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยการคุ้มกันทางทหาร ผู้ถูกเนรเทศจะถูกกีดกันไม่ให้ได้รับอาหารและน้ำ และถูกปล้นชิงทรัพย์เป็นระยะๆ ข่มขืน และสังหารหมู่
[10] ชุมชนชาวอาร์มีเนียที่ผลัดถิ่นส่วนใหญ่ในทั่วโลกนั้นเป็นผลโดยตรงจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
[11]กลุ่มชาติพันธ์อื่นๆ ที่มีเป้าหมายเดียวกันสำหรับการกำจัดใน
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอัสซีเรียและ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกรีก และการกระทำของพวกเขาได้ถูกพิจารณาโดยนักประวัติศาสตร์บางคนว่าเป็นส่วนหนึ่งของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบเดียวกัน
[12][13]Raphael Lemkin ได้ถูกย้ายโดยเฉพาะเจาะจงโดยการทำลายล้างชาวอาร์มีเนียเพื่อกำหนดการกำจัดอย่างเป็นระบบและไตร่ตรองไว้ก่อนภายในการจำกัดทางกฎหมายและการประกาศใช้คำว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี ค.ศ. 1943
[14] การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์มีเนียได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สมัยใหม่เป็นครั้งแรก
[15][16][17] เพราะนักวิชาการได้ชี้ไปที่ลักษณะการจัดการอย่างเป็นระเบียบด้วยการสังหารได้ถูกดำเนินการ มันเป็นกรณีของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มีการศึกษาอย่างมากเป็นอันดับสองรองลงจาก
ฮอโลคอสต์[18]ทางตุรกีได้ออกมาปฏิเสธด้วยคำว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เป็นคำที่ใช้อย่างถูกต้องสำหรับการก่ออาชญากรรมเหล่านี้ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ต้องเผชิญหน้ากับการเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ได้พวกเขารับรู้
[19] ในปี ค.ศ. 2019 รัฐบาลและรัฐสภาของ 32 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และเยอรมนี ได้ตระหนักถึงเหตุการณ์นี้ว่า เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์