การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเซอร์แคสเซีย (
อังกฤษ: Circassian genocide)
[6][7] หรือ
เซิตซาเกฺวิน (
อูบึก: цӀыцӀэкӀун,
[8][lower-alpha 1] ออกเสียง:
[tsʼətsʼakʷʼən]) คือพฤติการณ์ของ
จักรวรรดิรัสเซียระหว่างและหลัง
สงครามรัสเซีย–เซอร์แคสเซีย (ค.ศ. 1763–1864) ที่ประกอบด้วยการสังหารหมู่
การล้างชาติพันธุ์ และการขับไล่
ชาวเซอร์แคสเซียร้อยละ 80–97
[9][10] (ประมาณ 800,000–1,500,000 คน)
[9][11][12] อย่างเป็นระบบ ถึงแม้ชาวเซอร์แคสเซียจะตกเป็นเป้าหมายหลักของการกำจัด แต่มุสลิมกลุ่มอื่น ๆ ในภูมิภาค
คอเคซัสก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
[13] มีรายงานว่ากองกำลังรัสเซียใช้วิธีการต่าง ๆ นานา เช่น การทำลายพืชผลแล้วปล่อยให้อดอยาก การเผาหมู่บ้านและชาวบ้านทั้งเป็น การแทงและแหวะท้องหญิงมีครรภ์
[4][14] บรรดานายพลของรัสเซีย เช่น
กรีโกรี ซัสส์ เหยียดหยามชาวเซอร์แคสเซียว่าเป็น "สิ่งโสโครกที่ต่ำกว่ามนุษย์" ยกย่องการสังหารหมู่พลเรือนเซอร์แคสเซีย
[4][15][16] อ้างว่าจะนำอวัยวะของผู้เสียชีวิตไปทดลองวิทยาศาสตร์
[17] และอนุญาตให้ทหารใต้บังคับบัญชาของตนข่มขืนหญิงชาวเซอร์แคสเซีย
[4]ในช่วงสงครามรัสเซีย–เซอร์แคสเซีย จักรวรรดิรัสเซียใช้กลยุทธ์ล้างเผ่าพันธุ์ด้วยการสังหารหมู่พลเรือนเซอร์แคสเซีย ผู้ที่รอดพ้นไปได้คือชาวเซอร์แคสเซียส่วนน้อยที่ยอมรับ
การกลืนกลายเป็นรัสเซียและยอมออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ภายในจักรวรรดิรัสเซีย ในขณะที่ชาวเซอร์แคสเซียที่เหลือถูกตีแตกกระจัดกระจายหรือไม่ก็ถูกเข่นฆ่า
[18] เลโอ ตอลสตอย รายงานว่าทหารรัสเซียจะจู่โจมบ้านเรือนในเวลากลางคืน
[19] วิลเลียม พอลเกรฟ นักการทูตชาวอังกฤษผู้เห็นเหตุการณ์ เสริมว่า "ความผิดเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือการไม่ได้เป็นชาวรัสเซีย"
[20] ใน ค.ศ. 1864 ชาวเซอร์แคสเซียร่วมลงนามใน "คำร้องทุกข์จากผู้นำเซอร์แคสเซียถึง
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" เพื่อขอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจาก
จักรวรรดิบริติช[21][22][23] อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันนั้นจักรวรรดิรัสเซียได้เริ่มการเนรเทศชาวเซอร์แคสเซียที่รอดชีวิตก่อนสงครามสิ้นสุดใน ค.ศ. 1864 และเสร็จสิ้นเป็นส่วนใหญ่เมื่อถึง ค.ศ. 1867
[24] ชาวเซอร์แคสเซียที่ถูกเนรเทศบางคนเสียชีวิตจากโรคระบาด ความอดอยาก และความอิดโรย โดยมีรายงานว่าศพบางศพถูกสุนัขกัดกิน
[20] บางคนเสียชีวิตเมื่อเรือโดยสารอับปางกลางทะเลเนื่องจากพายุ
[12] หรือเนื่องจากผู้ขนส่งบรรทุกผู้โดยสารเกินพิกัดเพราะหวังผลกำไรสูงสุด
[25] ชาวเซอร์แคสเซียบางคนยังต้องขายปศุสัตว์ ขายทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งขายตนเองไปเป็นทาสเพื่อหาเงินจ่ายค่าเดินทางอีกด้วย
[26][27]จากการคำนวณที่คำนึงถึงตัวเลขจากจดหมายเหตุของรัฐบาลรัสเซียด้วยนั้น ประมาณกันว่าประชากรเซอร์แคสเซียร้อยละ 80–97
[28][29][30] ได้สูญไประหว่างกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้ ผู้พลัดถิ่นส่วนใหญ่ตั้งรกรากอยู่ที่
จักรวรรดิออตโตมัน[4] แหล่งข้อมูลระบุว่าชาวเซอร์แคสเซียมากถึง 1 ถึง 1.5 ล้านคนจำต้องหลบหนีออกจากบ้านเกิด แต่มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่รอดไปขึ้นฝั่ง
[1][2] จดหมายเหตุสมัยจักรวรรดิออตโตมันแสดงให้เห็นว่ามีผู้คนจากคอเคซัสเกือบ 1 ล้านคนอพยพเข้ามาในเขตจักรวรรดิเมื่อถึง ค.ศ. 1879 แต่เกือบครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้เสียชีวิตที่ชายฝั่งเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ
[3] หากตัวเลขจากจดหมายเหตุออตโตมันนั้นถูกต้อง เหตุการณ์นี้ก็จะเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดของคริสต์ศตวรรษที่ 19
[31] และอันที่จริง สำมะโนประชากรรัสเซียใน ค.ศ. 1897 ก็สนับสนุนความน่าเชื่อถือของจดหมายเหตุออตโตมัน เนื่องจากสำมะโนดังกล่าวระบุว่าในเซอร์แคสเซีย (ซึ่งถูกพิชิตแล้ว) เหลือประชากรเซอร์แคสเซียเพียง 150,000 คน
[32][33] ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสิบของจำนวนประชากรเซอร์แคสเซียดั้งเดิมณ ค.ศ. 2021
จอร์เจียเป็นเพียงประเทศเดียวที่รับรองว่าเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเซอร์แคสเซียขึ้น
[34] ส่วน
รัสเซียปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่เคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเซอร์แคสเซีย
[35][36][37] และจำแนกเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นปรากฏการณ์ย้ายถิ่นของชาวเซอร์แคสเซีย (
รัสเซีย: Черкесское мухаджирство) นักชาตินิยมรัสเซียบางส่วนในภูมิภาคคอเคซัสยังคงเฉลิมฉลองวันเริ่มการเนรเทศชาวเซอร์แคสเซีย กล่าวคือ วันที่ 21 พฤษภาคม (ตามปฏิทินเก่า) เป็น "วันพิชิตชัยอันศักดิ์สิทธิ์" ในขณะที่ชาวเซอร์แคสเซียถือเอาวันที่ 21 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันไว้อาลัยเซอร์แคสเซียเพื่อรำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
[38] ในวันดังกล่าว ชาวเซอร์แคสเซียทั่วโลกจะออกมาประท้วงต่อต้านรัฐบาลรัสเซีย โดยเฉพาะในเมืองที่มีประชากรเซอร์แคสเซียจำนวนมากอย่าง
คัยเซรีและ
อัมมาน รวมถึงเมืองใหญ่อื่น ๆ อย่าง
อิสตันบูลเป็นต้น
[39][40]