การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวเขมร(
เขมร: ហាយនភាពខ្មែរ หรือ ការប្រល័យពូជសាសន៍ខ្មែរ,
ฝรั่งเศส: Génocide cambodgien) ถูกดำเนินโดย
เขมรแดงภายใต้การนำโดย
พล พต ผู้ผลักดันกัมพูชาอย่างรุนแรงต่อ
ลัทธิคอมมิวนิสต์ ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 1.5–2 ล้านคน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ถึง ค.ศ. 1979 ซึ่งเป็นจำนวนเกือบหนึ่งในสี่ของประชากรชาวกัมพูชาในปี ค.ศ. 1975 (ประมาณ 7.8 ล้านคน)
[1][2][3]พล พตและเขมรแดงได้รับการสนับสนุนจาก
พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) และ
เหมา เจ๋อตงมาช้านาน
[4][5][6][7][8][9] มีการคาดการณ์ว่าอย่างน้อย 90% ของความช่วยเหลือจากต่างประเทศแก่เขมรแดงมาจากจีน โดยในปี ค.ศ. 1975 มีเพียงอย่างเดียวที่แสดงให้เห็นว่าจำนวนเงินอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจและการทหารจากจีนโดยปลอดดอกเบี้ย
[9][10][11] ภายหลังจากได้ยึดอำนาจในเดือนเมษายน ค.ศ. 1975 เขมรแดงต้องการที่จะเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็น
สาธารณรัฐเกษตรกรรมสังคมนิยม ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามนโยบาย
ลัทธิเหมาอย่างรุนแรงและได้รับอิทธิพลมาจาก
การปฏิวัติทางวัฒนธรรม[12][13][14][15] พล พตและเจ้าหน้าที่เขมรแดงคนอื่น ๆ ได้เข้าพบกับประธานเหมาอย่างเป็นทางการที่
กรุงปักกิ่ง เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975 ซึ่งได้รับการอนุมัติและคำแนะนำ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรรคคอมมิวนิสต์จีน เช่น
จาง ชุนเฉียว ได้เดินทางมาเยือนกัมพูชาในภายหลังเพื่อให้ความช่วยเหลือ
[16] เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เขมรแดงได้ทำให้เมืองว่างเปล่าและบังคับให้ชาวกัมพูชาย้ายไปตั้งค่ายแรงงานในชนบทที่มีการประหารชีวิตหมู่
การเกณฑ์บังคับใช้แรงงาน การทำร้ายร่างกาย
ความอดอยากหิวโหย และเกิดโรคระบาด
[17][18] พวกเขาเริ่มต้นด้วย "maha lout ploh" ซึ่งเป็นการลอกเลียนแบบนโยบาย
การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าของจีนที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตกว่าสิบล้านคนใน
ทุพภิกขภัยจีนใหญ่[19][20] ในปี ค.ศ. 1976 เขมรแดงได้เปลี่ยนประเทศเป็น
กัมพูชาประชาธิปไตยในเดือนมกราคม ค.ศ. 1979 ประชากรจำนวน 1.5 ถึง 2 ล้านคน เสียชีวิตเนื่องจากนโยบายของเขมรแดง รวมทั้งชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนจำนวน 200,000-300,000 คน ชาวมุสลิม 90,000 คน และชาวกัมพูชาเชื้อสายเวียดนาม 20,000 คน
[21][22] ชายเขมรเสียชีวิต 33.5% และหญิงเขมรเสียชีวิต 15.7% เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรปี ค.ศ. 1975
[3] มีประชากร 20,000 คนได้เข้าคุกเรือนจำความมั่นคงที่ 21, หนึ่งในเรือนจำ 196 แห่งที่เขมรดำเนินการ
[3][23] และมีเพียงผู้ใหญ่เจ็ดคนเท่านั้นที่รอดชีวิต
[24] นักโทษจะถูกนำตัวไปที่
ทุ่งสังหาร ซึ่งพวกเขาจะถูกประหารชีวิต(ซึ่งมักจะใช้ด้วยอีเต้อ เพื่อเป็นการประหยัดกระสุน
[25]) และถูกฝังไว้ในหลุมศพหมู่ มีการลักพาตัวและปลูกฝังความคิดต่อเด็กซึ่งเป็นที่แพร่หลาย และมีหลายคนถูกชักนำหรือถูกบังคับให้ก่อกระทำทารุณกรรม
[26] ในปี ค.ศ. 2009
ศูนย์รวบรวมเอกสารแห่งกัมพูชา(The Documentation Center of Cambodia, DC-Cam) ได้ทำแผนที่หลุมฝังศพหมู่จำนวน 23,745 หลุม ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1.3 ล้านคนของเหยื่อที่ต้องสงสัยว่าถูกประหารชีวิต โดยเชื่อกันว่าการประหารชีวิตโดยตรงนั้นมีสัดส่วนถึง 60% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดของการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ
[27] กับเหยื่อรายอื่นๆ ที่ประสบความอดอยากหิวโหย หรือป่วยด้วยโรคระบาดการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุครั้งนี้ก่อให้เกิดการรั่วไหลครั้งที่สองของผู้ลี้ภัย ซึ่งหลายคนได้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง
เวียดนาม และรองลงมาคือ
ไทย[28] การบุกครองกัมพูชาของเวียดนามถือเป็นจุดสิ้นสุดลงของการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุด้วยความปราชัยของเขมรแดง ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1979
[29] เมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2001 รัฐบาลกัมพูชาได้จัดตั้ง
ศาลคดีเขมรแดงเพื่อพิจารณาคดีต่อสมาชิกผู้นำเขมรแดงที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวเขมร การพิจารณาคดีได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009
[30] เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2014
นวน เจียและ
เขียว สัมพันถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดและถูกจำคุกคลอดชีวิตด้วยข้อหา
อาชญากรรมต่อมนุษยชาติในช่วงการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ
[31]