ผลกระทบในทางตรงกันข้าม ของ การถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์

มะเร็ง

รังสีที่ใช้ในการทำ CT สแกนสามารถทำลายเซลล์ในร่างกาย, รวมทั้งโมเลกุลดีเอ็นเอ, ซึ่งสามารถนำไปสู่​​โรคมะเร็ง[9]. ตามที่สภาแห่งชาติในการป้องกันอันตรายและวัดรังสี, ระหว่างปี 1980s ถึงปี 2006, การใช้ CT สแกนได้เพิ่มขึ้นหกเท่า (600%). ปริมาณรังสีที่ได้รับจาก CT สแกนเป็น 100 ถึง 1,000 เท่าสูงกว่ารังสีเอกซ์แบบเดิม[20]. การศึกษาโดยโรงพยาบาลนิวยอร์กพบว่าเกือบหนึ่งในสามของผู้ป่วยที่เข้ารับการสแกนหลายครั้งได้รับรังสีเทียบเท่ากับ การเอ็กซ์เรย์หน้าอกถึง 5,000 เท่า[20].

ผู้เชี่ยวชาญบางคนตั้งข้อสังเกตว่า CT สแกนเป็นที่รู้กันว่าถูก "ใช้เกิน" และ "มีหลักฐานที่น่าเศร้าน้อยของผลลัพธ์ของการมีสุขภาพที่ดีขึ้นที่เกี่ยวข้องกับอัตราของการสแกนที่สูงในปัจจุบัน"[20].

ประมาณการในช่วงต้นของอันตรายจาก CT บางส่วนอยู่บนพื้นฐานของความเสี่ยงรังสีที่คล้ายกันที่ประสบโดยผู้ที่อยู่ในระหว่างการระเบิดของระเบิดปรมาณูในประเทศญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและผู้ที่เป็นคนงานในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์[9]. การศึกษาล่าสุดโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติในปี 2009, ที่ขึ้นอยู่กับการสแกนหลายครั้งในปี 2007, คาดกันว่า 29,000 ส่วนเกินของโรคมะเร็งและ 14,500 ส่วนเกินของการเสียชีวิตอาจจะเกิดในช่วงชีวิตของผู้ป่วย. ผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดการณ์ว่าในอนาคตร้อยละระหว่างสามและห้าของโรคมะเร็งทั้งหมดจะเป็นผลมาจากการถ่ายภาพทางการแพทย์[20].

การศึกษาของออสเตรเลีย 10.9 ล้านคนรายงานว่าอุบัติการณ์ที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งหลังจาก รับการ CT สแกนในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการฉายรังสี. ในกลุ่มนี้หนึ่งในทุก 1,800 CT สแกนตามมาด้วยโรคมะเร็งส่วนเกิน. ถ้าความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตลอกช่วงชีวิตคือ 40%, ดังนั้นความเสี่ยงที่แน่นอนจะขึ้นไปถึง 40.05% หลังจาก CT[21][22].

อายุของบุคคลมีบทบาทสำคัญในความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง[23]. ประมาณว่าความเสี่ยงการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตลอดช่วงอายุคนจากการ CT ที่ท้องของเด็กอายุ 1 ปีเป็น 0.1% หรือ 1:1000 สแกน[23]. ความเสี่ยงสำหรับคนอายุ 40 ปีเป็นครึ่งหนึ่งของคนที่มีอายุ 20 ปีที่มีความเสี่ยงน้อยมากๆในผู้สูงอายุ[23]. คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันรังสีประมาณการว่าความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์กับการสัมผัสกับ 10 มิลลิเกรย์ (หน่วยของการสัมผัสรังสี, ดู Gray (unit)) เพิ่มอัตราการเกิดโรคมะเร็งก่อนที่จะอายุ 20 ปีจาก 0.03% เป็น 0.04% (เพื่อการอ้างอิง, CT angiogram ปอดทำให้ทารกในครรภ์สัมผ้สกับรังสีถึง 4 mGy)[24]. การตรวจสอบในปี 2012 ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการฉายรังสีทางการแพทย์กับการเกิดโรคมะเร็งในเด็ก, โดยมีข้อสังเกตของการดำรงอยู่ของข้อจำกัดทั้งหลายในหลักฐานบนสิ่งที่การตรวจสอบได้ขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น[25].

CT สแกนสามารถดำเนินการด้วยการตั้งค่าที่แตกต่างกันเพื่อลดการเปิดรับรังสีในเด็กโดยที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่ของ CT สแกน ณ ปี 2007 ที่มีฟังก์ชันนี้ติดมาด้วย[26]. นอกจากนี้ เงื่อนไขบางประการอาจจำเป็นต้องให้เด็กได้สัมผัสกับ CT สแกนหลายครั้ง[9]. การศึกษาจำนวนมากสนับสนุนการแจ้งพ่อแม่เด็กเกียวกับของความเสี่ยงของเด็กในการทำ CT สแกน[27].

สารทึบรังสี

ในสหรัฐอเมริกา ครึ่งหนึ่งของ CT สแกนเกี่ยวข้องกับการฉีด'สารทึบรังสี' (อังกฤษ: radiocontrast agent) เข้าเส้นเลือดดำ[28]. ปฏิกิริยาที่พบมากที่สุดจากสารเหล่านี้คือนุ่มนวล, รวมทั้งคลื่นไส้, อาเจียนและผื่นคัน อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาที่รุนแรงมากขึ้นอาจเกิดขึ้น[29]. ปฏิกิริยาโดยรวมจะเกิดขึ้นใน 1-3% ของคนทีใช้สารทึบรังสีแบบไม่มีประจุและ 4-12% ของคนที่ใช้สารทึบรังสีแบบมีประจุ[30]. ผื่นผิวหนังอาจปรากฏขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์กับ 3% ของคน[29].

สารทึบรังสีแบบเก่าก่อให้เกิดภูมิแพ้ใน 1% ของกรณีในขณะที่สารรุ่นที่ใหม่กว่าและมี osmolar ต่ำกว่าทำให้เกิดปฏิกิริยาใน 0.01-0.04% ของกรณี[29][31]. ความตายเกิดขึ้นในประมาณสองถึง 30 คนต่อ 1,000,000 ด้วยสารใหม่ที่ปลอดภัยกว่า[30][32]. เมื่อการเสียชีวิตเกิดขึ้นมันมักจะเกิดขึ้นกับเพศหญิง, ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีสุขภาพไม่ดีและเป็นเรื่องรองไปทั้งภูมิแพ้หรือภาวะไตวายเฉียบพลัน[28].

สารทึบรังสีอาจทำให้เกิด'โรคไตที่เกิดจากสารทึบรังสี'[33]. โรคนี้เกิดขึ้นใน 2-7% ของคนที่ได้รับสารเหล่านี้, และมีความเสี่ยงมากขึ้นในผู้ที่มีความบกพร่องของไตมาก่อน[33], โรคเบาหวานมาก่อน, หรือปริมาณหลอดเลือดลดลง. คนที่มีการด้อยค่าของไตที่ไม่รุนแรงมักจะได้รับคำแนะนำเพื่อให้แน่ใจว่ามีความชุ่มชื้นเต็มรูปแบบเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนและหลังการฉีด. สำหรับไตล้มเหลวในระดับปานกลาง, การใช้สารทึบรังสีที่มีไอโอดีนควรหลีกเลี่ยง; นี้อาจหมายถึงการใช้เทคนิคทางเลือกแทน CT. ผู้ที่มีอาการไตวายรุนแรงที่ต้องฟอกไตต้องมีข้อควรระวังที่เข้มงวดน้อยลง, เพราะไตของพวกเขามีการทำงานน้อยมากที่เหลืออยู่ที่ความเสียหายใดๆที่มากขึ้นจะไม่เป็นที่สังเกตเห็นได้และการล้างไตจะล้างสารทึบรังสีออก; อย่างไรก็ตาม มันเป็นปกติที่จะแนะนำให้มีเตรียมการฟอกไตเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้หลังจากการฉีดสารเพื่อลดผลกระทบใดๆของสารทึบรังสี.

นอกเหนือไปจากการใช้สารทึบรังสีในหลอดเลือดดำ, สารทึบรังสีที่ให้ทางปากก็มีการนำมาใช้เมื่อทำการตรวจสอบช่องท้อง. สารเหล่านี้มักจะเป็นเช่นเดียวกับสารทึบรังสีในหลอดเลือดดำเพียงแต่เจือจางลงเหลือประมาณ 10% ของความเข้มข้น. อย่างไรก็ตาม ทางเลือกทางปากด้วยสารที่มีไอโอดีนก็มีใช้อยู่, เช่นสารแขวนลอยแบเรียมซัลเฟตเจือจางมาก (0.5-1% w /v). แบเรียมซัลเฟตเจือจางมีความได้เปรียบที่ว่ามันไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ชนิดหรือทำให้ไตล้มเหลว, แต่ไม่สามารถนำมาใช้ในผู้ป่วยที่สงสัยว่าลำไส้ทะลุหรือสงสัยว่าลำไส้บาดเจ็บ, เพราะการรั่วไหลของแบเรียมซัลเฟตจากลำไส้ที่เสียหายอาจทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องบาดเจ็บร้ายแรง.

ใกล้เคียง

การถ่ายโอนสัญญาณ การถ่ายภาพจอประสาทตา การถ่ายเทยีน การถ่ายเทความร้อน การถ่ายภาพรังสีระนาบด้วยการปล่อยโพซิตรอน การถ่ายเลือด การถ่ายภาพเคอร์เลียน การถ่ายทอดสดผ่านสัญญาณต่อเนื่อง การถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพทางดาราศาสตร์

แหล่งที่มา

WikiPedia: การถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ http://www.visielab.ua.ac.be/sites/default/files/j... http://books.google.ca/books?id=bEvnfm7V-LIC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=qCebxPjdSBUC&pg=PA... http://www.australianprescriber.com/upload/pdf/art... http://www.merriam-webster.com/dictionary/computed... http://www.northernradiology.com/assets/Imaging%20... http://www.nytimes.com/2014/01/31/opinion/we-are-g... http://www.spinemd.com/publications/articles/relia... http://www.columbia.edu/~djb3/papers/nejm1.pdf http://adsabs.harvard.edu/abs/2011MedPh..38S..36V