การสังหารหมู่ที่ดัยร์ยาซีน (
อังกฤษ: Deir Yassin massacre) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1948 เมื่อกลุ่มนักสู้ชาวยิวราว 130
[1] คนจากกองกำลังกึ่งกอทัพยิว
อีร์กูน และ
เลฮี ฆาตกรรมชาวบ้านอย่างน้อย 107 ราย เหยื่อทั้งหมดเป็น
ชาวอาหรับปาเลสไตน์ รวมถึงเด็กและสตรี ในหมู่บ้าน
ดัยร์ยาซีน ซึ่งมีขนาดประชากรราว 600 ใกล้กับนคร
เยรูซาเลม แม้ว่าหมู่บ้านจะบรรลุข้อตกลงในการอยู่โดยสันติก็ตาม การโจมตีนี้เกิดขึ้นขณะกองกำลังชาวยิวพยายามจะหาทางผ่อนปรน
การล้อมนครเยรูซาเลมในระหว่าง
สงครามกลางเมืองปาเลสไตน์ในอาณัติที่เกิดขึ้นก่อนสิ้นสุดการปกครองใน
ภูมิภาคปาเลสไตน์ของ
เจ้าอาณานิคมอังกฤษ[4]ชาวบ้านในดัยร์ยาซีนมีความพยายามต้านทานกองกำลังยิวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้และกองกำลังยิวเองก็มีรายงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเช่นกัน ท้ายที่สุด ดัยร์ยาซีนก็ถูกยึดได้หลังการต่อสู้รายบ้านสิ้นสุด ชาวอาหรับปาเลสไตน์บางส่วนเสียชีวิตระหว่างการโจมตี ในขณะที่บางส่วนถูกสังหารชณะพยายามหลบหนีหรือแสดงการยอมจำนนแล้วก็ตาม มีนักโทษจำนวนหนึ่งถูกสังหาร บางส่วนหลังถูกนำไปขึ้นขบวนแห่ใน
เยรูซาเลมตะวันตกเพื่อถูกประชาชนถ่มถุย ขว้างปาหินใส่ ก่อนที่จะถูกสังหาร
[1][5][6] นอกจากการฆาตกรรมแล้ว อาชญากรรมอื่น ๆ ที่ก่อในระหว่างการสังหารหมู่ยังมีการปล้นสะดมของมีค่า และมีความเป็นไปได้ว่าเกิดการข่มขืนและทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความพิการ
[7] แม้ตอนแรก กองกำลังยิวจะประกาศชัยชนะและรุบว่าได้สังหารเหยื่อไปรวม 254 ราย แต่นักวิชาการในปัจจุบันระบุยอดเสียชีวิตอยู่ที่ต่ำกว่านั้น นักประวัติศาสตร์ชาวปาเลสไตน์
อาเรฟ อัลอาเรฟ นับเหยื่อได้รวม 117 ราย, เจ็ดรายในระหว่างการต่อสู้ และที่เหลือในบ้าน
[8] จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บมีประมาณอยู่ระหว่าง 12 ถึง 50 นอกจากนี้ ฝั่งผู้โจมตีมีรายงานเสียชีวิตห้าราย บาดเจ็บอีกนับสิบคน
[1]การสังหารหมู่นี้ถูกประณามโดยผู้นำของ
ฮากานะฮ์ซึ่งเป็นกองกำลังกึ่งกองทัพหลักของชุมชนชาวยิว และชาวยิวซึ่งรวมถึง
หัวหน้าแรบไบประจำพื้นที่สองคน ไปจนถึง
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์,
เยสซูรูน การ์โดโซ,
ฮันนะฮ์ อาเรนดต์,
ซิดนีย์ ฮุก เป็นต้น
องค์การชาวยิวเพื่อปาเลสไตน์ยังได้ส่งจดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการแด่
กษัตริย์อับดุลละฮ์แห่งจอร์แดนแต่ถูกปัดตกไป
[4] และถือว่าคนยิวมีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้
[9] รวมถึงยังเตือนถึง "ผลสืบเนื่องอย่างร้ายแรง" หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ที่ใดอีก
[10]เหตุสังหารหมู่นี้กลายมาเป็นเหตุการณ์จุดเปลี่ยนใน
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับโลกอาหรับ มีวาทกรรมเกิดขึ้นจากหลายฝ่ายเพื่อใช้โจมตีกันและกัน เช่น วาทกรรมจากชาวปาเลสไตน์พุ่งเป้าโจมตีอิสราเอล, โดยกลุ่มฮากานะฮ์เพื่อลดทอนบทบาทตัวเองในเหตุการณ์นี้ลง และโดยชาวอิสราเอลเพื่อกล่าวโทษกลุ่มอีร์กูนกับเลฮีว่าทำให้ชื่อของอิสราเอลต้องหม่นหมองผ่านการละเมิดซึ่งหลักการยิวว่าด้วย
ความเป็นบริสุทธิ์จากอาวุธ[11]สี่วันถัดมา ในวันที่ 13 เมษายน มีการโจมตีเพื่อล้างแค้นในเยรูซาเลม โดยการโจมตี
ขบวนความช่วยเหลือทางการแพทย์ฮาดัสซะฮ์นี้เป็นผลให้มีชาวยิวถูกสังหาร 78 ราย ส่วนใหญ่เป็นบุคลากรทางการแพทย์
[12][13] ส่วนแหล่งข้อมูลในหอจดหมายเหตุของกองทัพอิสราเอลที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่ดัยร์ยาซีนยังคงมีสถานะเป็นความลับ
[14]