การอยู่เป็นโสด หรือ
เซลิเบซี (จากภาษาละติน, cælibatus) เป็นสถานะของความสมัครใจที่จะไม่แต่งงานหรือสมรส
ละเว้นการร่วมเพศ หรือทั้งสองอย่าง มักจะมาจากเหตุผลทางศาสนา
[1][2][3][4] บ่อยครั้งที่ได้มีความเกี่ยวข้องกับบทบาทของเจ้าหน้าทีทางศาสนาหรือผู้อุทิศตน ในแง่ที่คับแคบ, คำว่า เซลิเบซี จะใช้ได้เฉพาะกับผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงานเป็นผลมาจากคำปฏิญาณอันศักดิ์สิทธิ์ การอุทิศตนในการเสียสละ และความเชื่อมั่นทางศาสนา
[5][6] ในความหมายที่กว้างขวางเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปอาจหมายถึงการงดเว้นจาก
กิจกรรมทางเพศเท่านั้น
[7][8]เซลิเบซีได้มีอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ในแทบทุก ๆ ศาสนาหลักของโลก และมุมมองที่หลากหลาย เช่นเดียวกับ
ชาวโรมันได้มองว่าเป็นความผิดปกติและกฏหมายได้มีการลงโทษด้วยการปรับเป็นเงิน โดยมีข้อยกเว้นเพียงประการเดียวที่อนุญาตให้แก่กลุ่มนักบวชหญิงที่ชื่อว่า
เวสทัล เวอร์จิ้นส์ ทัศนคติของ
ศาสนาอิสลามที่มีต่อการอยู่เป็นโสดนั้นมีความซับซ้อนเช่นเดียวกัน ฮะดีษบางคำได้กล่าวว่า มูฮัมหมัดได้ประณามติเตียน แต่บางคำสั่งของนิกายศูฟีได้ถูกนำมาใช้ วัฒนธรรมคลาสสิคของ
ชาวฮินดูได้สนับสนุนในการบำเพ็ญตบะและการถือพรหมจรรย์ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ภายหลังจากที่ได้พบกับภาระผูกพันทางสังคมของเขา
ศาสนาเชน, ในทางตรงกันข้าม คำสั่งสอนในการถือพรหมจรรย์ที่สมบูรณ์ แม้สำหรับนักพรตหนุ่มแล้วและได้ถือว่า การถือพรหมจรรย์เป็นพฤติกรรมที่สำคัญในการบรรลุโมกษะ
ศาสนาพุทธได้รับอิทธิพลจากศาสนาเชน อย่างไรก็ตาม, ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่สำคัญในด้านต่าง ๆ ที่ศาสนาพุทธได้เผยแพร่กระจายออกไปซึ่งส่งผลต่อทัศนคติของคนในท้องถิ่นต่อการถือพรหมจรรย์ มันไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในประเทศจีน จากตัวอย่างเช่น ขบวนการทางศาสนาอื่น ๆ เช่น
ลัทธิเต๋าได้ออกมาคัดค้าน สถานการณ์ที่ค่อนข้างคล้ายกันที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ที่ประเพณี
ชินโตยังคงต่อต้านการถือพรหมจรรย์ ในประเพณีทางศาสนาพื้นเมืองของชาวแอฟริกันและชาวอเมริกาอินเดียส่วนใหญ่ การถือพหจรรย์ได้ถูกมองในแง่ลบเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีข้อยกเว้น เช่น การถือครองโสดเป็นระยะ ๆ ซึ่งฝึกฝนโดยนักรบชาวเมโสอเมริกัน
[9]