ข้อดีและข้อเสีย ของ การเลือกตั้งระบบสัดส่วน

ความเป็นธรรม

ระบบสัดส่วนมีวัตถุประสงค์เรื่องความไม่เป็นธรรมของการลงคะแนนระบบเสียงข้างมากและระบบคะแนนนำซึ่งพรรคขนาดใหญ่นั้นจะได้รับที่นั่งมากเหมือนโบนัสที่ไม่เป็นธรรม และพรรคเล็กนั้นเสียเปรียบอันเนื่องมาจากไม่ได้ที่นั่งตามสัดส่วนคะแนนที่ไรับจริงและในบางกรณีนั้นอาจจะไม่ได้รับเลยสักที่นั่งเดียว (ตามกฎของดูเวอร์เกอร์)[8] [9][10]:6–7 พรรคการเมืองใหญ่ในสหราชอาณาจักรสามารถที่จะชนะคะแนนเสียงได้อย่างล้นหลามและควบคุมสภาสามัญชนได้โดยใช้คะแนนเสียงแค่เพียงร้อยละ 35 ของคะแนนทั้งหมด (จากการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ค.ศ. 2005) ในกรณีของการเลือกตั้งทั่วไปในแคนาดา รัฐบาลโดยพรรคร่วมรัฐบาลสามารถจัดตั้งได้โดยมีคะแนนเสียงรวมน้อยกว่าร้อยละ 40 (ในการเลือกตั้งสหพันธรัฐในแคดานา ค.ศ. 2011 และค.ศ. 2015) ในกรณีที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์น้อยกว่าร้อยละ 60 เมื่อใด พรรคการเมืองใหญ่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้โดยแค่ต้องการจำนวนคะแนนเสียงสนับสนุนเพียงแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ของเขตเลือกตั้งเท่านั้น การเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ค.ศ. 2005 พรรคแรงงาน นำโดยโทนี แบลร์ได้รับเสียงข้างมากในสภาด้วยคะแนนเสียงทั้งหมดเพียงร้อยละ 21.6 ของคะแนนเสียงรวมจากเขตเลือกตั้งทั้งหมด[11]:3 ซึ่งประเด็นในการผิดสัดส่วนในการจัดสรรผู้แทนนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า "ไม่ใช่แค่เรื่องความเป็นธรรมแล้วแต่เป็นเรื่องสิทธิพื้นฐานของพลเมือง"[12]:22 อย่างไรก็ตาม การลงคะแนนเสียงในระบบสัดส่วนที่มีการกำหนดคะแนนเสียงขั้นต่ำสูง หรือข้อกำหนดพิเศษที่ลดความเป็นสัดส่วนลงก็ไม่ได้จำเป็นว่าจะให้ความเป็นธรรมได้มากกว่าเท่าใดนัก เช่น ในการเลือกตั้งทั่วไปในตุรกี ค.ศ. 2002 ซึ่งใช้ระบบการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเปิดโดยมีคะแนนเสียงขั้นต่ำที่ร้อยละ 10 นั้นได้ผลลัพธ์เป็นคะแนนเสียงกว่าร้อยละ 46 นั้นเป็นคะแนนเสียเปล่า[3]:83

ในระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากนั้นยังช่วยให้พรรคการเมืองในท้องถิ่นนั้นสามารถชนะการเลือกตั้งในท้องถิ่นของตนได้จำนวนมากโดยเฉพาะในเขตท้องถิ่นที่ได้รับแรงสนับสนุนมาก แต่ไม่ใช่พรรคระดับประเทศ ในขณะที่พรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ได้ความนิยมระดับประเทศและไม่ได้มุ่งเน้นในระดับท้องถิ่น เช่น พรรคกรีน มักจะได้ที่นั่งน้อยมากหรือไม่ได้เลย ตัวอย่างเช่น พรรคบล็อกเกเบกัวในแคนาดาซึ่งชนะกว่า 52 ที่นั่งแค่เพียงในรัฐควิเบกในการเลือกตั้งสหพันธรัฐในแคนาดา ค.ศ. 1993 โดยมีคะแนนเสียงรวมเพียงร้อยละ 13.5 ของระดับประเทศ ในขณะที่พรรคอนุรักษ์นิยมก้าวหน้าแห่งแคนาดาล้มเหลวอย่างสิ่นเชิงในระดับประเทศ (ได้รับเพียง 2 ที่นั่ง) ด้วยคะแนนเสียงกระจายถึงร้อยละ 16 ของคะแนนทั้งหมด ส่วนพรรคอนุรักษ์นิยมนั้นถึงแม้จะเป็นที่นิยมในระดับประเทศซึ่งมีผู้สนับสนุนอยู่ในภาคตะวันตกแต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้สนับสนุนเปลี่ยนไปเลือกพรรคปฏิรูปแทน ซึ่งพรรคปฏิรูปได้รับที่นั่งเป็นส่วนใหญ่ในแถบตะวันตกของรัฐซัสแคตเชวัน และไม่ได้เลยในรัฐแมนิโทบา[10][13] กรณีคล้ายคลึงกันกับการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ค.ศ. 2015 ซึ่งพรรคชาติสกอตได้ถึง 52 ที่นั่งจากทั่วสกอตแลนด์ โดยมีคะแนนเสียงในระดับประเทศเพียงแค่ร้อยละ 4.7 ในขณะที่พรรคเอกราชสหราชอาณาจักรได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 12.6 แต่ได้แค่เพียงที่นั่งเดียว[14]

เอื้อต่อพรรคขนาดเล็ก

การใช้ระบบเขตเลือกตั้งแบบมีผู้แทนหลายคนสามารถทำให้มีผู้แทนได้หลากหลาย ในเขตเลือกตั้งที่จำนวนผู้แทนมาก และจำนวนคะแนนเสียงขั้นต่ำที่ต้องการนั้นต่ำเท่าไรยิ่งจะช่วยให้พรรคการเมืองขนาดเล็กได้ประโยชน์การระบบสัดส่วนได้มากขึ้น ซึ่งในประเด็นที่ถกเถียงกันในประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นใหม่นั้น การมีพรรคขนาดเล็กจำนวนมากในสภานิติบัญญัติเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความมั่นคงทางสังคมและเพื่อทำให้กระบวนการประชาธิไตยนั้นแข็งแรงขึ้น[3]:58

ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยนั้น ในอีกด้านหนึ่งกล่าวว่าระบบนี้จะเป็นโอกาสให้พรรคหัวรุนแรงสุดโต่งสามารถเข้ามามีที่นั่งในสภาได้ ซึ่งบ้างว่าเป็นสาเหตุของการล่มสลายของสาธารณรัฐไวมาร์ ในระบบสัดส่วนที่กำหนดคะแนนเสียงขั้นต่ำต่ำมากนั้น พรรคการเมืองขนาดเล็ก ๆ หลายพรรคสามารถกลายเป็น "ผู้เลือกกษัตริย์"[15] (King-makers) ได้ง่ายดายโดยเพียงต่อรองกับพรรคการเมืองขนาดใหญ่แลกกับเสียงสนับสนุนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเป็นข้อต่อรอง ตัวอย่างนี้เกิดขึ้นในอิสราเอล[3]:59 แต่ปัญหานี้สามารถจำกัดได้ดั่งที่ใช้ในบุนเดิสทาคของเยอรมนีในปัจจุบัน โดยมีกฎให้คะแนนขั้นต่ำของพรรคการเมืองที่ใช้ในการได้ที่นั่งในสภานั้นมีจำนวนสูง (ซึ่งในทางกลับกันทำให้มีปริมาณคะแนนเสียเปล่ามากขึ้น)

อีกข้อวิจารณ์คือระบบสัดส่วนทำให้พรรคการเมืองหลักขนาดใหญ่ในระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมาก[16]นั้นแตกออกเนื่องจากระบบสัดส่วนจะได้ประโยชน์แก่พรรคการเมืองขนาดเล็ก โดยเห็นในตัวอย่างของอิสราเอล อิตาลี และบราซิลเป็นต้น[3]:59,89 แต่อย่างไรก็ตามจากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่ามีการเพิ่มจำนวนของพรรคการเมืองในสภาไม่มากนักจากระบบสัดส่วนนี้ (แต่ละพรรคเล็กได้ที่นั่งมากขึ้น)[17]

ในระบบการลงคะแนนแบบบัญชีรายชื่อเปิด (open list) และแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงเป็นเพียงแบบย่อยของระบบสัดส่วนที่พรรคการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น[18] ทำให้ผู้สมัครอิสระนั้นสามารถได้รับเลือกตั้งโดยง่าย ในไอร์แลนด์ มีผู้สมัครอิสระประมาณหกคนได้รับเลือกเข้าสภาโดยเฉลี่ยทุกสมัย[19] ทำให้ในการหาแนวร่วมในสภานั้นจะต้องนำผู้แทนอิสระนี้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเสมอ ในบางกรณีผู้แทนอิสระเหล่านี้อยู่ในสถานะใกล้ชิดกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยรัฐบาลไอริชในการเลือกตั้งปีค.ศ. 2016 นั้นรวมผู้แทนอิสระในรายชื่อของรัฐมนตรีในรัฐบาลเสียงข้างน้อยด้วย

รัฐบาลแบบพรรคร่วม

การได้รับการเลือกตั้งของพรรคการเมืองขนาดเล็กจำนวนมากกลายเป็นข้อโต้แย้งหลักของระบบสัดส่วนซึ่งจะทำให้เกิดรัฐบาลพรรคร่วมทุกครั้ง[3]:59[20]

ผู้สนับสนุนระบบสัดส่วนมองพรรคร่วมรัฐบาลเป็นข้อได้เปรียบ โดยทำให้มีการประนีประนอมกันในระหว่างต่างพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมตรงกลางของสเปกตรัมการเมือง และทำให้มีความต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ส่วนผู้ต่อต้านระบบนี้เห็นว่าในหลายนโยบายนั้นไม่สามารถจะรอมชอมกันได้ เนื่องจากแต่ละนโยบายไม่สามารถจะจัดแบ่งขั้วได้ง่ายดาย (ตัวอย่างเช่น นโยบายสิ่งแวดล้อม) ดังนั้นนโยบายต่าง ๆ กลายเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการร่วมรัฐบาลแทนซึ่งทำให้ผู้ลงคะแนนไม่มีทางรู้ได้เลยว่านโยบายใดจะได้รับการผลักดันจากรัฐบาลที่พวกเขาเลือกมา กล่าวคือผู้ลงคะแนนมีอิทธิพลน้อยต่อรัฐบาล เช่นกัน การร่วมรัฐบาลนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงกลางเสมอไป และพรรคการเมืองขนาดเล็กก็จะมีอิทธิพลมากโดยต่อรองการร่วมรัฐบาลด้วยข้อแม้ว่านโยบายต่าง ๆ ของพรรคเล็กที่มาจากผู้สนับสนุนจำนวนน้อยจะต้องเป็นผล สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสามารถที่ผู้ลงคะแนนสนับสนุนพรรคการเมืองถูกตัดทอนลงไป[20]

ประเทศในระบบสัดส่วนที่มีจำนวนการเลือกตั้งน้อย

ด้วยข้อเสียต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ ผู้ต่อต้านระบบสัดส่วนโต้แย้งว่าในระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากนั้นช่วยหลีกเลี่ยงประเด็นเหล่านี้ได้ ซึ่งในกรณีนี้การร่วมรัฐบาลนั้นแทบไม่เกิดขึ้น โดยพรรคการเมืองหลักสองพรรคจะต้องแข่งขันกันอยู่ตรงกลางของสเปกตรัมเพื่อคะแนนเสียงทำให้รัฐบาลที่ได้นั้นอยู่จะต้องอยู่ตรงกลาง พรรคฝ่ายค้านที่ได้ก็มีความเข้มแข็งในการตรวจสอบรัฐบาล และรัฐบาลนั้นก็จะต้องรับฟังเสียงของประชาชนอยู่เสมอเพราะสามารถจะสลับขั้วได้โดยการเลือกตั้งเสมอ[20] อย่างไรก็ตามไม่ได้เป็นไปตามกรณีนี้เสมอ ในการเมืองระบบสองพรรคนั้นสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนข้างไปอย่างสุดโต่งออกไปจากตรงกลางได้[21] หรืออย่างน้อยพรรคใดพรรคหนึ่งจะกลายเป็นพรรคนโยบายสุดโต่งได้[22] เหล่าผู้ต่อต้านระบบสัดส่วนยังโต้แย้งอีกว่ารัฐบาลพรรคร่วมในระบบสัดส่วนนั้นไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งทำให้มีการเลือกตั้งบ่อยขึ้น ดังตัวอย่างสำคัญคืออิตาลี ซึ่งมีหลายรัฐบาลอันประกอบไปด้วยพรรคเล็กพรรคพรรคน้อยประกอบเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตามในอิตาลีนั้นผิดปกติตรงที่ทั้งสองสภานั้นสามารถทำให้สภาล่มได้ ในขณะที่ในประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ระบบสัดส่วนมีเพียงสภาเดียวหรือใช้แค่เพียงสภาเดียวจากสองสภาเป็นหลักเพื่อสนับสนุนรัฐบาล ในอิตาลีนั้นใช้การลงคะแนนระบบผสมระหว่างแบบคะแนนนำแบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดกับระบบสัดส่วนตั้งแต่ปีค.ศ. 1993 อันประกอบด้วยกฎเกณฑ์ซับซ้อนจึงทำให้อิตาลีไม่ใช้ตัวอย่างที่ดีของระบบสัดส่วนที่มีเสถียรภาพ

การมีส่วนร่วมของผู้ลงคะแนน

ในระบบคะแนนนำส่วนมากจะทำให้เกิดรัฐบาลพรรคเดียวที่มีเสียงข้างมากในสภาเนื่องจากพรรคเล็กจะไม่ค่อยได้รับเลือกในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับระบบสัดส่วนแล้ว โดยระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดนั้นมักจะทำให้การเมืองเหลือเพียงพรรคใหญ่ไม่กี่พรรคและมีโอกาสที่คะแนนเสียงเพียงเล็กน้อยจะพลิกผลการเลือกตั้งได้แบบในกรณีของ "ที่นั่งแกว่ง" ซึ่งสามารถเปลี่ยนเสียงข้างมากในสภาจากพรรคหนึ่งไปอีกพรรคหนึ่งได้ โดยในระบบคะแนนนำผู้ดำรงตำแหน่งปัจจุบันนั้นมักจะครองที่นั่งและมักจะถูกโค่นลงยาก ในสหราชอาณาจักร เป็นต้น เขตเลือกตั้งประมาณครึ่งหนึ่งมักจะเลือกผู้แทนสังกัดพรรคการเมืองเดิมตั้งแต่ค.ศ. 1945[23] ในปีค.ศ. 2012 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีเพียงแค่ 45 เขต (คิดเป็นร้อยละ 10) ที่สามารถถูกเอาชนะโดยพรรคฝ่ายตรงข้ามได้[24] ผู้ลงคะแนนส่วนมากจะรู้ว่าคะแนนเสียงตัวเองต่อผู้สมัครที่มีแนวโน้มจะแพ้นั้นไม่มีแรงจูงใจในการไปลงคะแนน หรือหากไปลงคะแนนก็เทียบกับไม่มีประโยชน์อันใด เพราะคะแนนสูญ (ไม่มีค่า) ถึงแม้จะนำคะแนนมาคิดคะแนนรวมก็ตาม (ป็อปปูลาร์ โหวต)

ในระบบสัดส่วน จะไม่เกิดปัญหาเรื่องที่นั่งแกว่ง เพราะคะแนนเสียงทั้งหมดจะมีส่วนในผลการเลือกตั้งทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นพรรคการเมืองจะต้องทำการหากเสียงในทุกเขตเลือกตั้ง ไม่เพียงเฉพาะเขตที่ได้รับการสนับสนุนหรือเขตที่ได้เปรียบเท่านั้น โดยพบว่ามีส่วนทำให้พรรคการเมืองมีความรับผิดชอบมากขึ้นต่อผู้ลงคะแนน และส่งผลให้การเลือกตั้งมีความสมดุลมากขึ้นโดยส่งชื่อผู้สมัครที่เป็น"สตรี" หรือผู้สมัครจากชนกลุ่มน้อย เป็นต้น โดยจากค่าเฉลี่ย ประมาณร้อยละ 8 ของสตรีได้รับเลือกมากขึ้นในระบบการลงคะแนนนี้[17]

เนื่องจากทุกคะแนนจะมีผลต่อการเลือกตั้ง จึงแทบไม่มีคะแนนสูญเลย จึงทำให้ผู้ลงคะแนนย่อมตระหนักว่าการลงคะแนนมีความหมายและสามารถสร้างความแตกต่างได้ จึงส่งผลให้มีแรงจูงใจในการไปเลือกตั้ง และเกิดปัญหาการเลือกตั้งเชิงกลยุทธ์น้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ใช้ระบบคะแนนนำนั้น จำนวนผู้มาใช้สิทธิมีสูงกว่า และประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในกระบวนการทางการเมือง[3][10][17] อย่างไรก็ดีเหล่าผู้เชี่ยวชาญได้โต้แย้งว่าการเปลี่ยนผ่านจากระบบคะแนนนำไปเป็นระบบสัดส่วนนั้นสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้สิทธิได้แค่ในเขตเลือกตั้งที่สามารถคาดคะเนผู้ชนะได้ (safe seat) ในขณะที่ระบบคะแนนนำจำนวนผู้ใช้สิทธิจะลดลงในบริเวณที่เคยมีปัญหาที่นั่งแกว่ง[25]


การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรม

ในระบบคะแนนนำนั้น หัวใจของความเป็นสัดส่วนอยู่ที่การแบ่งเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนหนึ่งคน (single-member districts) โดยขนาดประชากร ซึ่งขั้นตอนนี้มีความเปราะบางต่อการละเมิดโดยอิทธิพลทางการเมือง (การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบ หรือ "Gerrymandering") โดยเพื่อจะแก้ปัญหานี้การแบ่งเขตเลือกตั้งจะต้องปรับตามขนาดการขยายตัวประชากรในเขตนั้นอยู่เสมอ โดยแม้แต่จะแบ่งเขตอย่างเป็นธรรมแล้วก็ยังมีความเสี่ยงต่อปัญหานี้อย่างไม่ตั้งใจอันเป็นผลมาจากการรวมกลุ่มของประชากรทางธรรมชาติ[26]:65

ในระบบสัดส่วนแบบที่มีผู้แทนหลายคนต่อหนึ่งเขตนั้นมีภูมิต้านทานกับปัญหานี้ได้มากกว่าโดยผลการวิจัยระบุว่าเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนห้าคนหรือมากกว่าจะป้องกันปัญหาการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบได้ดี[26]:66

เนื่องจากความเท่ากันในขนาดของเขตเลือกตั้งในการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบมีผู้แทนหลายคนนั้นไม่สำคัญ (จำนวนที่นั่งผันแปร) ดังนั้นแต่ละเขตเลือกตั้งสามารถแบ่งตามอาณาเขตทางภูมิศาสตร์ได้โดยง่าย เช่น เมือง เคาน์ตี รัฐ หรือจังหวัด เป็นต้น หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับจำนวนประชากรในอนาคตก็แค่ปรับเพิ่มหรือลดจำนวนผู้แทนในเขตนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในแผนของศาสตราจารย์มอลลิสันในปีค.ศ. 2010 ที่เสนอให้สหราชอาณาจักรใช้ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงนั้นได้แบ่งสหราชอาณาจักรเป็น 143 เขต และกำหนดจำนวนผู้แทนจำนวนแตกต่างกันในแต่ละเขต (โดยรวมทั้งหมด 650 คนเท่าปัจจุบัน) โดยขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นโดยมีพิสัยค่อนข้างกว้าง (เขตเลือกตั้งแบบมีผู้แทนห้าคนมีเขตที่มีประชากร 327,000 คน และอีกเขตถึง 382,000 คน) โดยในแผนนี้ได้แบ่งเขตเลือกตั้งตามเขตเคาน์ตี และเขตการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำให้ได้จำนวนสัดส่วนที่ถูกต้องมากกว่าที่ทำโดยคณะกรรมาธิการเขตแดนซึ่งมีหน้าที่ตรงในการแบ่งเขตเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (FPTP)[23][27]

ส่วนในระบบการลงคะแนนแบบผสมนั้นก็ยังมีเสี่ยงต่อการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบในแบบที่มีการเลือกตั้งในแบบแบ่งเขตเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ในระบบคู่ขนาน ซึ่งเป็นระบบการเลือกตั้งแบบกึ่งสัดส่วนนั้นไม่มีกลไกในการชดเชยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการเอาเปรียบในการแบ่งหน่วยเลือกตั้งได้ ส่วนในระบบสัดส่วนผสม (MMP) เนื่องจากมีกลไกสำคัญคือการชดเชยที่นั่งจึงไม่เป็นปัญหามากนัก อย่างไรก็ตามความมีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละระบบ รวมถึงขนาดของเขตเลือกตั้ง สัดส่วนของจำนวนที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อต่อที่นั่งทั้งหมด และปัญหาเรื่องความสมรู้ร่วมคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นจาการใช้ประโยชน์อย่างผิดวัตถุประสงค์ในกลไกการชดเชยที่นั่งเกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปในฮังการี ค.ศ. 2014 ซึ่งพรรคการเมืองผู้นำ คือ Fidesz ใช้กลยุทธ์การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบร่วมกับบัญชีรายชื่อแบบตัวแทน (decoy list) ทำให้ได้มาซึ่งสองในสามของที่นั่งทั้งหมดในสภาโดยได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 45 เท่านั้น[28][29] ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบสัดส่วนผสมนั้นสามารถทำให้ได้ผลลัพธ์แบบที่ไม่ค่อยเป็นสัดส่วนมากได้คล้ายๆ กับระบบคู่ขนาน

การยึดโยงระหว่างผู้แทนกับเขตเลือกตั้ง

ในระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนนำ อาทิเช่น ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (FPTP) และระบบเสียงข้างมาก อาทิเช่น การลงคะแนนแบบหลายรอบในทันที เป็นที่ยอมรับกันกว้างขวางว่ามีความเชื่อมโยงกันทางภูมิศาสตร์ระหว่างตัวผู้แทนกับประชาชนในเขตเลือกตั้งนั้นๆ[3]:36[30]:65[12]:21 ข้อเสียของระบบสัดส่วนที่ชัดเจนคือเนื่องจากการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบมีผู้แทนหลายคน ซึ่งมีการจัดเขตภูมิศาสตร์ที่กว้างกว่า ทำให้ความยึดโยงต่อประชาชนในท้องที่นั้นอ่อนแอกว่า[3]:82 ยิ่งในระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อซึ่งไม่ได้มีการแบ่งเขตเลือกตั้งเลย เช่น ในเนเธอร์แลนด์ และอิสราเอลนั้นความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนในท้องที่กับตัวผู้แทนนั้นเกือบจะไม่มีเลย ยกเว้นเพียงบางพรรคการเมืองเท่านั้น อย่างไรก็ตามมีข้อโต้แย้งในระบบการเลือกตั้งที่มีเขตเลือกตั้งแบบผู้แทนหลายคนเขตเล็กๆ โดยเฉพาะในกรณีใช้ระบบการลงคะแนนแบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (STV) ว่ากว่าร้อยละ 90 ของผู้แทนในเขตเลือกตั้งสามารถเข้าถึงผู้แทนที่พวกเขาเลือกตั้งเข้ามาได้ ซึ่งเป็นคนที่เข้าใจปัญหาในท้องถิ่นนั้นๆ จึงกล่าวได้ว่าประชาชนในท้องที่และผู้แทนมีความใกล้ชิด[23][26]:212 โดยประชาชนผู้มีสิทธิในท้องที่นั้นมีทางเลือกในการเลือกผู้แทนที่สามารถให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาในท้องถิ่นนั้นๆ ได้[26]:212[31] ส่วนในเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนมากกว่าหนึ่งคนนั้น ผู้สมัครรายที่โดดเด่นมักจะมีโอกาสได้รับเลือกในเขตท้องที่ของตนซึ่งประชาชนรู้จักดีและมั่นใจให้เป็นผู้แทนได้จริง และโอกาสที่จะส่งตัวผู้สมัครไปลงแข่งขันในเขตที่เหมือนเป็นคนแปลกหน้าหน้านั้นย่อมไม่เกิดผลดีต่อทั้งผู้สมัครและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้น[32]:248–250 ส่วนในระบบสัดส่วนผสม (MMP) นั้นมีการใช้ข้อดีของการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบผู้แทนคนเดียวซึ่งช่วยเก็บรักษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้แทนกับประชาชนในท้องที่ไว้[3]:95 แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีจำนวนผู้แทนแบบบัญชีรายชื่อมากสุดได้ถึงครึ่งหนึ่งของสภา จึงทำให้เขตเลือกตั้งในแต่ละเขตอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าในกรณีของระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนนำ ได้ถึงสองเท่าซึ่งผู้แทนแต่ละคนนั้นถือเป็นผู้แทนเพียงคนเดียวของแต่ละเขตเลือกตั้ง

กรณีศึกษาที่น่าสนใจเคยเกิดขึ้นเนเธอร์แลนด์ ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1994 เมื่อมีพรรคการเมืองใหม่ พรรคพันธมิตรแห่งผู้สูงวัยทั่วไป (General Elderly Alliance) ชนะถึง 6 ที่นั่ง เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่เคยมีพรรคการเมืองใดให้การใส่ใจในประเด็นนี้มาก่อน โดยในการเลือกตั้งครั้งถัดไปนั้น พรรคการเมืองนี้ก็จบบทบาทลงเนื่องจากพรรคการเมืองหลักๆ ได้เริ่มนโยบายรับฟังเสียงของผู้สูงวัยอย่างทั่วถึง ในปัจจุบันนี้มีพรรคการเมืองสำหรับผู้สูงอายุ ไฟฟ์ติคปลึส (50+) ได้มามีบทบาทสำคัญในการเมืองเนเธอร์แลนด์อย่างมีนัยสำคัญ โดยเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการแบ่งเขตทางภูมิศาสตร์นั้นไม่อาจเป็นตัวชีวัดคะแนนเสียงที่ดีได้ หรือในอีกนัยหนึ่งคือ การลงคะแนนในแบบแบ่งเขตจำกัดผู้ลงคะแนนแค่ในเขตนั้นๆ ในขณะที่การลงคะแนนแบบสัดส่วนนั้นมีผลตามผลลัพธ์คะแนนเสียงทั้งหมด[33]

ใกล้เคียง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2549 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2550 การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2567 การเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2565 การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในประเทศไทย พ.ศ. 2563 การเลือกตั้งระบบสัดส่วน การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2565

แหล่งที่มา

WikiPedia: การเลือกตั้งระบบสัดส่วน http://www.cbc.ca/news/canada/british-columbia/pr-... http://www.cbc.ca/news/canada/prince-edward-island... http://publications.gc.ca/collections/Collection/J... http://esm.ubc.ca/CA93/results.html http://www.ekathimerini.com/248820/article/ekathim... http://www.community.netidea.com/ccbc/Gallagher.pd... http://www.wahlrecht.de/ausland/europa.htm http://www.zeit.de/politik/deutschland/2013-02/bun... http://www.thedanishparliament.dk/Publications/The... http://www.hks.harvard.edu/fs/pnorris/Acrobat/Choo...