ความปลอดภัย ของ การแท้ง

ความเสี่ยงทางสุขภาพของการทำแท้งขึ้นอยู่กับว่าวิธีการทำแท้งนั้นปลอดภัยหรือไม่ องค์การอนามัยโลกได้นิยามการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยว่าคือการทำแท้งโดยผู้ไม่มีทักษะ โดยเครื่องมือที่เป็นอันตราย หรือในสภาพแวดล้อมที่ผิดสุขอนามัย[50] การทำแท้งอย่างถูกกฎหมายใน ประเทศพัฒนาแล้วเป็นหนึ่งในหัตถการทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัยสูงมาก[51][52] ในสหรัฐอเมริกา ความเสี่ยงของการเสียชีวิตของมารดาจากการทำแท้งระหว่างปี ค.ศ.1998 ถึง 2005 เท่ากับ 0.6 ครั้งในการทำแท้ง 100,000 ครั้ง หรือคือปลอดภัยกว่าการคลอดบุตรถึง 14 เท่า (การคลอดบุตรทำให้มารดาเสียชีวิตได้ 8.8 ครั้งต่อการคลอด 100,000 ครั้ง)[53][54] ความเสี่ยงของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งเพิ่มมากขึ้นตามอายุครรภ์แต่ก็ยังน้อยกว่าการคลอดบุตรไปจนอายุครรภ์ 21 สัปดาห์[55][56] สวนทางกับกฎหมายในบางที่ที่บังคับให้แพทย์ให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยว่าการทำแท้งเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงสูง [57]

การใช้เครื่องดูดสุญญากาศในไตรมาสแรกเป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุดของการทำแท้งด้วยวิธีทางศัลยกรรมและสามารถทำได้ในสถานพยาบาลขั้นปฐมภูมิ คลินิกทำแท้งหรือโรงพยาบาล วิธีการนี้มีภาวะแทรกซ้อนน้อยมาก ทั้งการเกิดมดลูกทะลุ การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ รวมทั้งการหลงเหลืออยู่ของชิ้นเนื้อที่ทำให้ต้องมีการดูดซ้ำ[58] การให้ยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อ เช่นยา ดอกซีไซคลีนหรือเมโทรนิดาโซลมักให้ก่อนการทำแท้งที่ไม่ฉุกเฉิน[59]เพราะเป็นที่เชื่อกันว่าจะลดอัตราการติดเชื้อในมดลูกหลังการทำแท้งด้วยการผ่าตัดได้[60][61] ภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งในไตรมาสที่สองนั้นคล้ายกับในไตรมาสที่หนึ่งโดยขึ้นอยู่กับวิธีการทำแท้งที่เลือกใช้

อาจจะมีความแตกต่างบ้างเพียงเล็กน้อยในเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพระหว่างการทำแท้งด้วยการใช้ยาสูตรผสมของยาไมฟีพริสโตนและมิโซพรอสตอลและการทำแท้งด้วยการผ่าตัด (เครื่องดูดสุญญากาศ)ในระยะแรกของไตรมาสแรกไปจนอายุครรภ์ 9 สัปดาห์[45] การทำแท้งด้วยยามิโซพรอสตตอลซึ่งเป็นอนุพันธ์ของพรอสตาแกลนดินเพียงตัวยาเดียวมีประสิทธิภาพน้อยกว่าและเจ็บปวดมากกว่าการใช้ยาสูตรผสมของยาไมฟีพริสโตนและมิโซพรอสตอลหรือการทำแท้งด้วยการผ่าตัด[62][63]

การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย

โปสเตอร์จากสหภาพโซเวียตช่วง ค.ศ. 1925 เตือนเกี่ยวกับการทำแท้งโดยนางผดุงครรภ์ หัวเรื่องแปลว่า: "การทำแท้งโดยนางผดุงครรภ์ทั้งที่ถูกสอนและที่เรียนด้วยตนเอง ไม่เพียงทำให้หญิงพิการ แต่ยังมักทำให้เสียชีวิต"
ดูบทความหลักที่: การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย

การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยเป็นเหตุการตายและพิการที่สำคัญของสตรีทั่วโลก แม้ข้อมูลจะไม่แน่ชัดแต่ประมาณได้ว่ามีการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นประมาณ 20 ล้านครั้งต่อปี โดยร้อยละ 97 เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา[2] เชื่อว่าการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยทำให้มารดา 68,000 คนต้องเสียชีวิต[64] และหลายล้านคนต่อปีต้องบาดเจ็บโดยไม่จำเป็น[2] องค์กรต่าง ๆ เช่น องค์การอนามัยโลกได้กระตุ้นให้สาธารณะตระหนักถึงการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย กระตุ้นให้การทำแท้งและการฝึกการทำแท้งแก่บุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งถูกกฎหมายและเพิ่มการเข้าถึงการบริการทางอนามัยเจริญพันธุ์[65]

สตรีที่หาหนทางยุติการตั้งครรภ์ของตนบางครั้งก็หันมาใช้วิธีการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะสตรีที่ไม่สามารถทำแท้งอย่างถูกกฎหมายได้ บ้างก็พยายามทำแท้งด้วยตนเอง บ้างก็ให้ผู้ที่ไม่มีทักษะ ผ่านการฝึกฝนอย่างถูกต้อง หรือไม่มีสภาวะที่ถูกสุขอนามัยเป็นผู้กระทำให้ สิ่งเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะนำสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การแท้งไม่ครบ, ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ, การตกเลือด, และการบาดเจ็บของอวัยวะภายใน[66]

การทำให้การทำแท้งถูกกฎหมายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่นำไปสู่ความปลอดภัย ด้วยความที่กฎหมายห้ามการทำแท้งเพิ่มอัตราการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย[7][65][67][68][69] ตัวอย่างเช่น การทำให้การทำแท้งถูกกฎหมายในปี ค.ศ.1996 ของประเทศแอฟริกาใต้มีผลทำให้ความถี่ของภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งลดลงทันที[70] โดยทำให้อัตราการตายจากการทำแท้งลดลงมากกว่าร้อยละ 90 [71] นอกจากนี้ความลำบากในการเข้าถึงวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพก็นำไปสู่การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยเช่นกัน มีการประมาณว่าอัตราการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยสามารถลดลงได้ถึงร้อยละ 73 โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้ง ถ้าวิธีการวางแผนครอบครัวที่ทันสมัยและบริการทางสุขภาพแก่มารดาครอบคลุมและเข้าถึงได้ทั่วโลก[72]

ร้อยละ 40 ของสตรีทั่วโลกสามารถเข้าถึงการทำแท้งเพื่อการรักษาและการทำแท้งโดยสมัครใจได้ในอายุครรภ์ที่เหมาะสม[13] ขณะที่อีกร้อยละ 35 สามารถเข้าถึงการทำแท้งโดยถูกกฎหมายได้ถ้าสุขภาพกาย ใจ และเศรษฐานะเป็นไปตามเกณฑ์[15] อัตราการตายของมารดาเกิดจากการทำแท้งที่ปลอดภัยน้อยมากในขณะที่การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยทำให้มีการตายถึง 70,000 ราย และบาดเจ็บถึง 5 ล้านรายในแต่ละปี [7] ภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยเป็นเหตุการตายของมารดาทั่วโลกในอันดับที่ 8[73] แม้จำนวนจะต่างกันไปในแต่ละพื้นที่[74] ภาวะการมีบุตรยากทุติยภูมิจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นกับผู้หญิงประมาณ 24 ล้านคน[68] แม้อัตราการทำแท้งทั่วโลกจะลดลงจาก 45.6 ล้านรายใน ค.ศ. 1995 เป็น 41.6 ล้านรายใน ค.ศ. 2003 การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยก็ยังเป็นร้อยละ 48 ของการทำแท้งทั้งหมดใน ค.ศ. 2003[67] การให้สุขศึกษา, การเข้าถึงการวางแผนครอบครัวและการพัฒนาการบริการทางการแพทย์ระหว่างและหลังการทำแท้งได้รับการกล่าวถึงว่ามีส่วนในปรากฏการณ์นี้[75]

สมมติฐานมะเร็งเต้านม

มีการศึกษาบางชิ้นที่เสนอถึงความสัมพันธ์ระหว่างการแท้งและมะเร็งเต้านม[76] ผู้ที่เสนอความสัมพันธ์นี้([สมมติฐานมะเร็งเต้านม])กล่าวว่าการตั้งครรภ์เป็นการขัดจังหวะการเจริญของเต้านมตามธรรมชาติทำให้เซลล์ตัวอ่อนที่สามารถเจริญเป็นมะเร็งได้มากกว่าปกติหลงเหลืออยู่ในเต้านม อย่างไรก็ตามองค์กรทางการแพทย์ใหญ่ๆ ทั้งองค์การอนามัยโลก, สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา, สมาคมมะเร็งอเมริกัน, ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์, สภาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยาอเมริกัน ต่างก็ลงความเห็นจากหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการแท้งมิได้เป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านม [77]

สุขภาพจิต

ดูบทความหลักที่: การแท้งและสุขภาพจิต

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่บ่งถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างการแท้งและปัญหาสุขภาพจิต[78] ขณะที่สตรีมักจะรู้สึกโล่งใจหลังการทำแท้ง[60] ปัจจัยบางประการในชีวิตของสตรีนั้น เช่น ความผูกพันทางอารมณ์กับการตั้งครรภ์, ขาดการสนับสนุนจากสังคม หรือปัญหาทางจิตเวชที่มีอยู่เดิม ทำให้มีความน่าจะเป็นเพิ่มขึ้นที่เกิดความรู้สึกเชิงลบหลังการแท้ง [79] สมาคมจิตวิทยาอเมริกันได้สรุปว่าการแท้งครั้งเดียวไม่มีผลต่อสุขภาพจิตของสตรี และการแท้งที่ไตรมาสแรกก็ไม่ได้มีความน่าจะเป็นที่จะทำให้สตรีมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าการตั้งครรภ์ต่อไปจนครบกำหนดคลอด.[80][81] และเช่นเดียวกัน การทำแท้งที่หลังไตรมาสแรกจากความผิดปกติของทารกในครรภ์ก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต [82]

มีการศึกษาบางชิ้นที่ไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปข้างต้น นักวิจัยอื่น ๆ และองค์กรวิชาชีพได้กล่าวว่าการศึกษาเกล่านั้นมักจะใช้กลุ่มเปรียบเทียบที่ไม่เหมาะสม ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยรบกวนอื่น ๆ อย่างเพียงพอและไม่ได้อธิบายภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพจิตที่มีมาก่อนอย่างเหมาะสม[note 2]

แหล่งที่มา

WikiPedia: การแท้ง http://www.foxnews.com/opinion/2013/10/18/what-do-... http://books.google.com/books?id=u4Aeiu2eDMAC&pg=P... http://www.huffingtonpost.com/dale-hansen/abortion... http://www.icd9data.com/getICD9Code.ashx?icd9=779.... http://www.medicinenet.com/miscarriage/page1.htm http://emedicine.medscape.com/article/252560-overv... http://www.reuters.com/article/2012/01/23/us-abort... http://media.wiley.com/product_data/excerpt/62/140... http://www.cancer.gov/cancertopics/factsheet/risk/... //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/10859852