สถานีย่อยจดหมายถึงชาวฮีบรู[1] (
อังกฤษ: Epistle to the Hebrews) เป็นหนังสือเล่มที่ 19 ใน
คัมภีร์ไบเบิลภาค
พันธสัญญาใหม่หนังสือเล่มนี้แต่แรกเป็นจดหมายขนาดยาวที่ถูกเขียนถึงชาว
ฮีบรู ผู้เขียนไม่ได้ระบุชื่อตนเองว่าเป็นใคร ซึ่งการทำเช่นนั้นแสดงว่า ผู้รับจดหมายชาว
ฮีบรูต้องรู้จักผู้เขียนเป็นอย่างดี และจากเนื้อหาในจดหมายที่กล่าวถึงคำสอนในคัมภีร์ภาค
พันธสัญญาเดิมด้วยนั้น แสดงว่าผู้เขียนเป็นผู้มีการศึกษาและเข้าใจในเรื่องราวเหล่านั้นดี ประกอบกับผู้เขียนมีความสนิทสนมกับทิโมธีด้วย
[2] ทำให้ในยุคแรกเชื่อกันว่านักบุญ
เปาโลอัครทูต น่าจะเป็นผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ แต่หลังจากการปฏิรูปแล้ว มีข้อโต้แย้งว่า ผู้เขียนไม่น่าจะเป็นเปาโล เพราะสไตล์การเขียนจดหมายของนักบุญเปาโล ไม่ใช่แบบที่อยู่ในจดหมายฉบับนี้ อาจจะเป็นอปอลโลมากกว่า ซึ่งอปอลโลก็มีคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันได้แน่นอนว่าผู้เขียนเป็นใคร ส่วนช่วงเวลาในการเขียนน่าอยู่ในราวปี ค.ศ. 70 คือก่อนที่กรุง
เยรูซาเลมจะล่มสลาย
คริสตจักรยุคแรกถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงจากชาวยิวที่ไม่เชื่อ
พระเยซู ผู้รับจดหมายฉบับนี้ในยุคนั้นน่าจะเป็นชาวยิวที่กลับใจเป็นคริสเตียน แต่กำลังถูกกดดันอย่างหนัก จนคิดว่าจะละทิ้งความเชื่อและกลับไปประพฤติตาม
ศาสนายูดาห์เหมือนเดิม ผู้เขียนจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อกระตุ้นให้ยึดมั่นในความเชื่อต่อไปเนื้อหาหลักในหนังสือ
ฮีบรูคือ ความสมบูรณ์ของ
พระเยซู ในฐานะผู้เปิดเผยและผู้นำมาซึ่งพระคุณของพระเจ้า ใน
พระเยซูทุกสิ่งทุกอย่างบริบูรณ์อยู่แล้ว ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใดอื่นอีก หนังสือ
ฮีบรูถูกเรียกว่า "หนังสือของสิ่งประเสริฐกว่า" เพราะในจดหมายฉบับนี้ มีการใช้คำที่มีความหมายว่า "ประเสริฐกว่า" หรือ "ดีกว่า" ถึง 15 ครั้งหนังสือ
ฮีบรูมีจุดประสงค์อยู่ 4 ประการ โดยประการแรกสำคัญที่สุดคือ ต้องการให้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่สูงสุดของ
พระเยซู มีเพียงแค่
พระเยซูเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ผู้เขียนแสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่สูงสุดของ
พระเยซู โดยการเปรียบเทียบกับผู้ยิ่งใหญ่อื่น ๆ เช่น
มหาปุโรหิต[3] โมเสส[4] หรือแม้แต่
ทูตสวรรค์[5]ก็ไม่อาจจะเปรียบเทียบความยิ่งใหญ่กับ
พระเยซูได้ประการที่สองคือ ต้องการให้ยึดมั่นในความเชื่อต่อไป แม้ว่าจะถูกกดขี่ข่มเหงก็ตาม ผู้เขียนยกตัวอย่างบุคคลในอดีตที่มีชื่อเสียงดีด้านความเชื่อ เช่น
โนอาห์[6] อับราฮัม[7] โมเสส
[8] เป็นต้น ผู้เขียนกล่าวต่อไปอีกว่า บางคนเสียชีวิตไปทั้งที่ยังไม่ได้รับอะไรตอบแทนจากความเชื่อนั้น แต่ก็ยังคงความเชื่ออยู่ เพราะมั่นใจว่าพระเจ้าจะจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่าไว้ให้
[9]ประการที่สามคือ ต้องการอธิบายให้เข้าใจถึงสาเหตุที่พระเจ้าตีสอน อาจจะมีผู้เชื่อบางคนที่ละทิ้งความเชื่อเพราะถูกพระเจ้าตีสอน แต่ผู้เขียนกำลังบอกผู้อ่านว่า "ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะ เพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง"
[10]ประการสุดท้ายเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตให้พระเจ้าทรงพอพระทัย ในส่วนท้ายนี้ตรงไปตรงมา เข้าใจได้ไม่ยาก เช่น เน้นให้รักกันฉันพี่น้อง
[11] อย่าล่วงประเวณี
[12] อย่าเห็นแก่เงิน
[13] เป็นต้น