ไท่ซางหวงโฮ่ว ของ ฉื่ออี้ไทเฮา

ในรัชศกเจิ้งถงปีที่ 14 (ค.ศ. 1449) จักรพรรดิหมิงอิงจงถูกจับเป็นเฉลยในยุทธการถูมู่[3] ชาวเผ่ามองโกลเรียกค่าไถ่ เมื่อพระนางทราบข่าวก็ทรงนำทรัพย์สมบัติส่วนตัวทั้งหมดออกมาเพื่อที่จะนำไปไถ่ตัวพระบรมราชสวามีคืนแต่ก็ล้มเหลว

ฉื่ออี้ไทเฮาวัย 23 พรรษา ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน พระนางคุกเข่าสวดอ้อนวอนตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อวิงวอนขอให้พระบรมราชสวามีปลอดภัย นอกเหนือจากการระดมทองคำ และเงินกับซางเซิ่งไทเฮาเพื่อไถ่ตัวจักรพรรดิหมิงอิงจงแล้ว ชีวิตประจำวันของฉื่ออี้ไทเฮายังคงคุกเข่าสวดภาวนาอีกด้วย

ฉื่ออี้ไทเฮาร้องไห้อย่างหนัก สวดภาวนาเช่นนี้ทุกวันทั้งคืน และไม่ว่าพระนางจะง่วงหรือเหนื่อยเพียงใด พระนางก็ปฏิเสธที่จะเข้านอนเพื่อพักผ่อน การกระทำเช่นนี้อย่างหนัก และกินแต่อาหารที่ไม่ดี พื้นห้องที่เย็น และอากาศหนาวเย็นรุนแรงที่ได้เข้ามาปกคลุมร่างกายของพระนางเป็นเวลานาน ส่งผลให้ขาข้างหนึ่งของพระนางได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้อีกต่อไปส่งผลให้พิการ และการร้องไห้ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนก็ทำให้ดวงตาข้างหนึ่งของฉื่ออี้ไทเฮาบอดลง ถึงกระนั่นฉื่ออี้ไทเฮาก็ทรงไม่ใส่ใจในความพิการนี้ และปฏิเสธการรักษา ฉื่ออี้ไทเฮาเชื่อว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการแลกเปลี่ยนเพื่อให้พระบรมราชสวามีกลับมาปลอดภัย[4]

ในวันที่ 6 เดือนกันยายน ราชสำนักหมิงจึงได้ทูลเชิญจู ฉี-อฺวี้ (朱祁鈺) พระราชอนุชา ขึ้นสืบราชสมบัติ ใช้พระนามรัชศกว่า "จิ่งไท่" (景泰) ได้สถาปนาพระเกียรติยศเฉลิมพระปรมาภิไธยจักรพรรดิหมิงอิงจงเป็น ไท่ซ่างหวงตี้ (太上皇帝) และเฉียนฮองเฮาเป็น ไท่ซ่างหวงโฮ่ว (太上皇后) ต่อมาได้สถาปนาเชิ่งหวางเฟย (郕王妃 "พระราชเทวีเชิ่ง") เป็นฮองเฮา และเฉียนฮองเฮาย้ายไปที่พระราชวังเหรินโซ่ว (仁寿宫)[5]

ในวันที่ 15 สิงหาคม รัชศกจิ่งไท่ปีที่ 1 (ค.ศ. 1450) จักรพรรดิหมิงอิงจงถูกชาวมองโกลส่งตัวคืนราชวงศ์หมิง ได้เสด็จกลับเมืองหลวงในที่สุด ทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากจักรพรรดิจิ่งไท่ ตามแผนจักรพรรดิหมิงอิงจงในฐานะไท่ซ่างหวงตี้ควรอยู่ในพระราชวังเหรินโซว จักรพรรดิจิ่งไท่นำไท่ซ่างหวงตี้ไปกักขังไว้ที่น่านกง (南宫)

เมื่อจักรพรรดิหมิงอิงจงพบกับฉื่ออี้ไทเฮา ผู้หญิงพิการที่ร่างกายทรุดโทรม ไม่ใช่ผู้หญิงทรงเสน่ห์ และมีดวงตาที่สดใสอีกต่อไปแล้ว ในไม่ช้าจักรพรรดิหมิงอิงจงก็รู้สาเหตุความพิการของฉื่ออี้ไทเฮา ทำให้จักรพรรดิหมิงอิงจงสัมผัสได้ถึงความรักของฉื่ออี้ไทเฮาในฐานะคู่ครองที่มีต่อพระองค์แม้จะไม่ชอบความพิการของฉื่ออี้ไทเฮา แต่จักรพรรดิหมิงอิงจงเข้าใจความหมายอย่างแท้จริงของการกระทำนี้ จักรพรรดิหมิงอิงจงมีความรักอย่างลึกซึ้ง ทรงนับถือว่าฉื่ออี้ไทเฮาเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของพระองค์

ชีวิตในน่านกงดำเนินไป ขณะที่จักรพรรดิหมิงอิงจงกำลังสนุกสนานสำราญอยู่กับเหล่าพระมเหสีพระนางสนม ฉืออี้ไทเฮาลากร่างที่พิการ ทำงานอย่างหนัก เช่น การทำงานฝีมือเพื่อค้าขายหาเงินดูแลจักรพรรดิหมิงอิงจงให้ได้เสวยแต่อาหารดีๆ[6]

แม้ว่าจักรพรรดิหมิงอิงจงจะไม่มีความสามารถมากนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพระองค์ทรงยึดในหลักจารีต หลักจริยธรรม อย่างการเคารพฉื่ออี้ไทเฮาในฐานะคู่ครองของพระองค์