เมนูนำทาง
ตามนุษย์ การแพทย์ตามนุษย์ซับซ้อนพอจำเป็นให้มีการใส่ใจและการดูแลนอกเหนือจากที่ทำโดยแพทย์ทั่วไปผู้ชำนาญในเรื่องตา หรือผู้มีวิชาชีพดูแลตา จะทำหน้าที่ต่าง ๆ กันในประเทศต่าง ๆและอาจมีสิ่งที่ทำเหลื่อมกันเมื่อดูแลคนไข้ เช่น ทั้งจักษุแพทย์และนักตรวจปรับสายตา (optometrist) สามารถวินิจฉัยโรคตาและวัดสายตาเพื่อทำแว่นตาแต่ปกติแล้ว จักษุแพทย์มีใบอนุญาตให้ผ่าตัดและปฏิบัติการที่ซับซ้อนอื่น ๆ เพื่อรักษาโรคสาขาวิชาชีพที่ดูแลตาต่าง ๆ รวมทั้ง
ความระคายเคืองตาอาจนิยามได้ว่า "ความรู้สึกเจ็บ คัน แสบ หรือระคายเคืองอื่น ๆ ที่มาจากตา"[30]มันเป็นปัญหาสามัญที่ทุกคนมีอาการที่เกี่ยวข้องกันรวมทั้งความรู้สึกไม่สบาย ตาแห้ง น้ำตาไหล คัน ระคาย เหมือนมีของแปลกปลอมที่ตา ล้า ปวด แสบ เจ็บ แดง หนังตาบวม เหนื่อย เป็นต้นโดยมีระดับต่าง ๆ ตั้งแต่เบา ๆ จนถึงรุนแรงมีการเสนอว่าอาการเหล่านี้สัมพันธ์กับเหตุเกิดต่าง ๆ กัน และจะสัมพันธ์กับโครงสร้างตาที่เกี่ยวข้อง[31]
มีการศึกษาปัจจัยที่สงสัยว่าเป็นเหตุหลายอย่าง[30]สมมติฐานหนึ่งก็คือ มลพิษอากาศภายในอาคารเป็นเหตุให้ระคายเคืองตาและทางลมหายใจ[32][33]ความระคายเคืองตาจะขึ้นอยู่กับการเสียความเสถียรของฟิลม์น้ำตาด้านนอก ซึ่งกระจกตาส่วนที่แห้ง จะทำให้รู้สึกไม่สบายตา[32][34][35]
ปัจจัยทางอาชีพก็น่าจะมีผลต่อความรู้สึกระคายเคืองตาด้วยรวมทั้งแสงไฟ (แสงสว่างเกินและมีความเปรียบต่างต่ำ) อิริยาบถในการมอง อัตราการกะพริบตาที่ลดลง การหยุดพักน้อยเกินในงานที่ใช้ตามาก และการปรับตาดูใกล้ไกลแบบไม่ค่อยเปลี่ยน ภาระต่อกระดูกและกล้ามเนื้อ และปัญหาระบบประสาทเนื่องกับการเห็น[36][37]
แผนภาพของตามนุษย์ (ตาขวาผ่าตามแนวนอน คือ horizontal section)1. เยื่อตา, 2. ส่วนตาขาว, 3. กระจกตา, 4. สารน้ำในลูกตา, 5. แก้วตา, 6. รูม่านตา, 7. ผนังลูกตาชั้นกลางพร้อมกับ 8. ม่านตา, 9. ซิลิอารีบอดี และ 10. คอรอยด์; 11. วุ้นตา, 12. จอตาพร้อมกับ 13. จุดภาพชัด; 14. จานประสาทตา → จุดบอด, 15. เส้นประสาทตาแผนภาพตามนุษย์ (ตาขวาผ่าตามแนวนอน คือ horizontal section)ปัจจัยอีกอย่างที่อาจเกี่ยวข้องก็คือความเครียดเนื่องกับงาน[38][39]นอกจากนั้น งานวิเคราะห์โดยการแจกแจงหลายตัวแปรยังพบว่า ปัจจัยทางจิตใจสัมพันธ์กับการระคายเคืองตามากขึ้น สำหรับผู้ที่ใช้จอมอนิเตอร์[40][41]
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น สารเคมีที่เป็นพิษหรือทำให้ระคายเคือง(เช่น amine, ฟอร์มาลดีไฮด์, acetaldehyde, acrolein, N-decane, สารประกอบอินทรีย์ระเหยได้, โอโซน, สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์และสารกันเสีย, สารก่อภูมิแพ้ เป็นต้น)ก็อาจทำให้ตาระคายเคืองด้วยสารประกอบอินทรีย์ระเหยได้ที่ทั้งไวปฏิกิริยาและเป็นตัวระคายต่อทางเดินลมหายใจ ก็อาจทำให้ตาระคายเคือง
ปัจจัยส่วนตัวต่าง ๆ (เช่น การใช้เลนส์สัมผัส การแต่งตา และยาบางชนิด)ก็อาจทำให้ฟิลม์น้ำตาเสียความเสถียรและอาจมีผลเป็นอาการทางตาต่าง ๆ[31]อย่างไรก็ดี ถ้าอนุภาคในอากาศเพียงอย่างเดียวทำฟิลม์น้ำตาให้ไม่เสถียรแล้วก่อความระคายเคือง มันก็จะต้องมีสารประกอบที่รบกวนผิวน้ำตาค่อนข้างสูง[31]
แบบจำลองเบ็ดเสร็จของความเสี่ยงทางสรีรภาพซึ่งแสดงว่า ความถี่การกะพริบตา การเกิดความไม่เสถียร และการสลายไปของฟิลม์น้ำตา เป็นปรากฏการณ์ที่แยกจากกันไม่ได้ อาจสามารถอธิบายความระคายเคืองตาของพนักงานในสำนักงานโดยอาศัยอาชีพ สภาพอากาศ และปัจจัยเสี่ยงทางสรีรภาพเกี่ยวกับตา[31]
มีวิธีการวัดความระคายเคืองตาหลัก ๆ สองแบบแบบแรกก็คือความถี่การกะพริบตา ซึ่งสามารถสังเกตได้โดยพฤติกรรมแบบอื่น ๆ รวมทั้ง break up time, การไหลของน้ำตา, ภาวะเลือดคั่ง, ลักษณะทางเซลล์เกี่ยวกับน้ำตา, และความเสียหายต่อเนื้อเยื่อบุผิว (โดย vital staining) เป็นต้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาทางสรีรภาพของมนุษย์
ความถี่การกะพริบตานิยามว่า จำนวนการกะพริบตาต่อนาที โดยเกี่ยวข้องกับความระคายเคืองตาความถี่เฉลี่ยจะต่างกันในบุคคลต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่น้อยกว่า 2-3 ครั้ง/นาที จนถึง 20-30 ครั้ง/นาที และจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมทั้งการใช้เลนส์สัมผัสเป็นต้น ภาวะขาดน้ำ กิจกรรมทางใจ สภาพการทำงาน อุณหภูมิห้อง ความชื้นสัมพัทธ์ และแสงสว่างล้วนแต่มีอิทธิพลต่อความถี่การกะพริบตา
break up time (BUT) เป็นค่าวัดความระคายเคืองตาและเสถียรภาพของฟิลม์น้ำตาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง[42]โดยมีนิยามเป็นช่วงเวลา (วินาที) ระหว่างการกะพริบตาและการแตกของฟิลม์น้ำตาBUT พิจารณาว่าสะท้อนถึงเสถียรภาพของฟิลม์น้ำตาด้วยในบุคคลปกติ BUT จะมากกว่าช่วงระหว่างการกะพริบตา และดังนั้น ฟิลม์น้ำตาจึงคงอยู่ได้[31]
งานศึกษาต่าง ๆ ได้แสดงว่า ความถี่การกะพริบตาจะมีสหสัมพันธ์ในเชิงลบกับ BUTปรากฏการณ์นี้ชี้ว่า ความระคายเคืองตาที่รู้สึกจะสัมพันธ์กับการกะพริบตาถี่ขึ้นเพราะทั้งกระจกตาและเยื่อตามีปลายประสาทไวความรู้สึกที่เป็นส่วนสาขาแรกของประสาทไทรเจมินัล[43][44]
วิธีอื่น ๆ รวมทั้ง ภาวะเลือดคั่ง (hyperemia) ลักษณะต่าง ๆ ทางเซลล์ เป็นต้น ก็ได้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อประเมินความเคืองตา
มีปัจจัยอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับความระคายเคืองตาด้วยสามอย่างที่มีอิทธิพลสูงสุดรวมทั้งมลพิษอากาศภายในอาคาร การใช้เลนส์สัมผัส และความแตกต่างระหว่างเพศ
งานศึกษาในสนามพบว่า ความชุกของอาการระคายเคืองตาที่เป็นปรวิสัย บ่อยครั้งจะต่างอย่างสำคัญระหว่างพนักงานในสำนักงาน เทียบกับตัวอย่างสุ่มจากกลุ่มประชากรทั่วไป[45][46][47][48]งานวิจัยเหล่านี้อาจชี้ว่า มลพิษอากาศภายในอาคารอาจมีบทบาทสำคัญทำให้ตาระคายเคือง
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ใส่เลนส์สัมผัส และตาแห้งดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่บ่นมากที่สุดสำหรับผู้ใส่[49][50][51]แม้ทั้งคนใส่เลนส์สัมผัสและคนใส่แว่นจะประสบอาการตาระคายเคืองเหมือน ๆ กัน แต่ตาแห้ง ตาแดง และการเหมือนกับมีก้อนกรวด/ทรายในตา จะรายงานในคนใส่เลนส์สัมผัสบ่อยครั้งกว่า และรุนแรงมากกว่า เทียบกับคนใส่แว่น[51]
งานศึกษาต่าง ๆ ได้แสดงว่าความชุกของตาแห้งจะเพิ่มขึ้นตามอายุ[52][53]โดยเฉพาะในหญิง[54]ฺBUT หรือเสถียรภาพของฟิลม์น้ำตา จะต่ำกว่าชายอย่างสำคัญนอกจากนั้น หญิงยังกะพริบตาถี่กว่าเมื่ออ่านหนังสือ[55]ปัจจัยหลายอย่างอาจมีผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างเพศอย่างหนึ่งก็คือการใช้เครื่องสำอางแต่งตาอีกอย่างอาจคือว่า หญิงในงานศึกษาที่ว่าทำงานเกี่ยวกับจอมอนิเตอร์มากกว่าชาย รวมทั้งงานในระดับต่ำกว่าเหตุผลที่มักอ้างที่สามก็คือการลดการหลั่งน้ำตาตามอายุ โดยเฉพาะในหญิงอายุมากกว่า 40 ปี[54][56][57]
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสได้ทำงานศึกษาเกี่ยวกับความถี่ของอาการที่รายงานในอาคารอุตสาหกรรม[58]ผลงานแสดงว่า ความเคืองตาเป็นอาการที่รายงานบ่อยที่สุดในอาคารอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาที่ 81%
นอกจากนั้น ความกังวลเกี่ยวกับผลลบต่อสุขภาพของพนักงานที่ทำงานในอาคารสำนักงานที่ใช้เครื่องใช้สำนักงานต่าง ๆ ก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[59]ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 มีรายงานที่สัมพันธ์อาการที่เยื่อเมือก ที่ผิวหนัง และอาการทั่วไปอื่น ๆ กับกระดาษที่ทำก๊อปปี้เองได้จึงมีการเสนอละอองธุลีและสารระเหยต่าง ๆ ว่าเป็นเหตุอาการเหล่านี้ได้สัมพันธ์กับ sick building syndrome (SBS) ซึ่งมีอาการเช่นความเคืองตา เคืองผิวหนัง เคืองทางเดินลมหายใจด้านบน ปวดหัว และล้า[60]
อาการหลายอย่างของ SBS และ multiple chemical sensitivity (MCS) คล้ายกับอาการที่มีเหตุจากสารเคมีระคายเคืองที่อยู่ในอากาศ[61]งานศึกษาหนึ่งตรวจสอบอาการระคายเคืองอย่างเฉียบพลันของตาและทางเดินลมหายใจ ที่ประสบกับฝุ่นโซเดียมบอเรต (sodium borate) เนื่องกับอาชีพ[62]การประเมินอาการของคน 79 คนที่ได้รับฝุ่น และ 27 คนที่ไม่ได้รับรวมการสัมภาษณ์ก่อนช่วงการทำงานและหลังจากนั้นทุก ๆ ชม. ตลอด 6 ชม. ซึ่งเป็นช่วงเวลาการทำงาน โดยประเมิน 4 วันติดต่อกัน[62]การได้รับฝุ่นได้เฝ้าสังเกตไปพร้อม ๆ กันโดยใช้เครื่องตรวจละอองลอยในเวลาจริงการวิเคราะห์ใช้ข้อมูลการประสบกับฝุ่นในสองรูปแบบ คือค่าเฉลี่ยที่ได้ต่อวัน และค่าเฉลี่ยในระยะสั้น ๆ (คือ 15 นาที)ความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับฝุ่นกับการตอบสนอง ประเมินโดยเชื่อมอัตราความชุกของอาการแต่ละชนิดกับการได้รับฝุ่นทั้งสองรูปแบบ[62]
อัตราความชุกแบบเฉียพลันของความระคายเคืองต่อจมูก ตา และคอ บวกกับการไอและการหายใจไม่ออกพบว่า สัมพันธ์กับการได้รับฝุ่นเพิ่มขึ้นในทั้งสองรูปแบบแต่ความชันของการได้รับฝุ่น-การตอบสนองจะสูงกว่าเมื่อใช้ข้อมูลการได้รับฝุ่นระยะสั้นการวิเคราะห์โดย multivariate logistic regression แสดงว่า ผู้สูบบุหรี่มักจะไวต่อการประสบกับฝุ่นโซเดียมบอเรตในอากาศน้อยกว่า[62]
บุคคลสามารถทำอะไรได้หลายอย่างเพื่อป้องกันการเคืองตา
นอกจากนั้น การป้องกันอื่น ๆ รวมทั้งการรักษาเปลือกตาให้ถูกสุขภาพ การเลี่ยงการขยี้ตา[70]และการใช้เครื่องใช้ส่วนตัว (เครื่องสำอาง สบู่ เป็นต้น) และยาให้ถูกต้องเครื่องสำอางตาควรใช้อย่างระมัดระวัง[71]
พฤติกรรมแบบกามวิปริตคือ การเลียลูกตา (oculolinctus) อาจทำให้เกิดความระคายเคือง การติดเชื้อ หรือความเสียหายต่อตา[72]
มีโรคตา ความผิดปกติทางตา และความเปลี่ยนแปลงตามอายุหลายอย่างที่อาจมีผลต่อตาและโครงสร้างรอบ ๆ
เมื่ออายุมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างจะจัดได้โดยส่วนเดียวว่ามาจากการมีอายุมากขึ้นกระบวนการทางกายวิภาคและสรีรภาพเหล่านี้โดยมาก เป็นการเสื่อมลงอย่างช้า ๆเมื่ออายุมากขึ้น คุณภาพการเห็นจะลดลงเนื่องจากเหตุที่เป็นอิสระจากโรคตาแม้จะมีความเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่างในตาที่ไม่เป็นโรคความเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อการทำงานมากที่สุดก็คือ การลดขนาดรูม่านตาและการเสียการปรับตาดูใกล้ไกล คือสมรรถภาพในการโฟกัส (โดยเฉพาะคือ presbyopia)ขนาดของรูม่านตาจะเป็นตัวควบคุมปริมาณแสงที่เข้ามาถึงจอตาระดับที่รูม่านตาสามารถขยายจะลดลงตามอายุ ทำให้แสงที่เข้ามาถึงจอตาลดลงมากเทียบกับคนอายุน้อยกว่า คนสูงอายุดูเหมือนจะใส่แว่นกันแดดที่มืดในระดับกลาง ๆ อยู่ตลอดเวลาดังนั้น เมื่อต้องใช้ตาทำงานที่จะออกมาดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับระดับแสงสว่าง ผู้สูงอายุจะต้องได้แสงสว่างมากกว่า
โรคตาบางชนิดอาจมาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริมหรือหูดหงอนไก่ถ้ามีการติดต่อสัมผัสระหว่างบริเวณที่ติดเชื้อกับตา โรคอาจไปติดที่ตา[73]
เมื่ออายุมากขึ้น จะเกิดวงแหวนรอบ ๆ กระจกตาที่เรียกว่า เส้นขอบกระจกตาวัยชรา (arcus senilis)นอกจากนั้น หนังตาก็จะหย่อนและไขมันของเบ้าตาก็จะฝ่อลงความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นสมุฏฐานของโรคหนังตาหลายประเภทรวมทั้งขอบตาแบะ (ectropion) ขอบตาม้วนเข้า และหนังตาตกวุ้นตาจะเหลวขึ้น (posterior vitreous detachment, PVD) และจะทึบขึ้น โดยเห็นเป็นวัสดุลอย (floater) มากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้มีวิชาชีพดูแลตารวมทั้งจักษุแพทย์ นักตรวจปรับสายตา (optometrist) และนักประกอบแว่น (optician) จะเป็นผู้ดูแลบริการในเรื่องตาและโรคตาแผนภาพสเนลเลน (Snellen chart) สามารถวัดการเห็นได้ชัด (visual acuity) วิธีหนึ่งหลังจากได้ตรวจตา หมอตาอาจจะให้ใบค่าตรวจตาแก่คนไข้เพื่อตัดแว่นสายตาโรคตาบางชนิดที่จำเป็นต้องใช้แว่นสายตารวมทั้งสายตาสั้น ซึ่งประชากรมนุษย์ประมาณ 1/3 จะมี[ต้องการอ้างอิง],สายตายาว (hyperopia) ซึ่งประชากรมนุษย์ประมาณ 1/4 มี,สายตาเอียง, และสายตาผู้สูงอายุ (presbyopia) ซึ่งเป็นการเสียพิสัยการโฟกัสเมื่ออายุมากขึ้น
โรคจุดภาพชัดเสื่อม (Macular degeneration) จะชุกเป็นพิเศษในสหรัฐอเมริกาโดยมีคนเป็นโรค 1.75 ล้านคนต่อปี[74]โดยการมีระดับลูทีน (lutein) และซีอาแซนทินที่ต่ำในจุดภาพชัด (macula) อาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของโรคจุดภาพชัดเสื่อมตามอายุ (age-related macular degeneration, ตัวย่อ AMD)[75][76]
ลูทีนและซีอาแซนทินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ป้องกันจอตาและจุดภาพชัดจากความเสียหายโดยออกซิเดชันเพราะคลื่นแสงที่มีพลังงานสูง[77]คือ เมื่อคลื่นแสงเข้าไปในตา มันก็จะปลุกเร้าอิเล็กตรอนที่อาจเป็นอันตรายต่อเซลล์ในตาแต่ก่อนที่จะสร้างความเสียหายโดยออกซิเดชัน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคจุดภาพชัดเสื่อมหรือต้อกระจกลูทีนและซีอาแซนทินก็จะจับอิเล็กตรอนที่เป็นอนุมูลอิสระในกระบวนการรีดักชันทำให้ปลอดภัย
มีอาหารหลายอย่างที่สมบูรณ์ไปด้วยลูทีนและซีอาแซนทิน ที่ดีที่สุดก็คือทานผักใบเขียวเข้มรวมทั้งผักกะหล่ำ ผักโขมฝรั่ง (ปวยเล้ง) บรอกโคลี และผักกาด[78]อาหารเป็นเรื่องสำคัญในการได้และรักษาสุขภาพตาที่ดีลูทีนและซีอาแซนทินเป็นแคโรทีนอยด์สำคัญสองอย่าง ซึ่งพบที่จุดภาพชัดในตาปัจจุบันมีงานวิจัยเพื่อกำหนดบทบาทในพยาธิกำเนิดของโรคตาต่าง ๆ รวมทั้ง AMD และต้อกระจก[78]
เมนูนำทาง
ตามนุษย์ การแพทย์ใกล้เคียง
ตามนุษย์แหล่งที่มา
WikiPedia: ตามนุษย์ http://www.unifr.ch/ifaa/Public/EntryPage/TA98%20T... http://www.unifr.ch/ifaa/Public/EntryPage/TA98%20T... http://accessmedicine.com/resourceTOC.aspx?resourc... http://oem.bmj.com/content/58/4/267.long http://www.britannica.com/EBchecked/topic/1688997/... http://discovermagazine.com/2012/jan-feb/12-the-br... http://www.everyspec.com/MIL-STD/MIL-STD-1400-1499... http://www.healthline.com/human-body-maps/eye#1/15 http://hilzbook.com/organs/head/eye/ http://hilzbook.com/organs/head/eye/retina/