นาโปลี (
อิตาลี: Napoli) หรือ
เนเปิลส์ (
อังกฤษ: Naples) หรือ
นาปูเล (
นาโปลี: Napule) เป็นเมืองหลักของ
แคว้นคัมปาเนียและจังหวัดนาโปลีใน
อิตาลี มีชื่อเสียงในด้านความร่ำรวยทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี และศาสตร์การทำอาหาร เป็นเมืองที่มีบทบาทสำคัญในคาบสมุทรอิตาลี
[2]มาตลอด 2,800 ปีนับแต่ก่อตั้งเมืองขึ้นมา ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ที่ชายฝั่งด้านตะวันตกของอิตาลีติดกับ
อ่าวนาโปลี กึ่งกลางระหว่างพื้นที่ภูเขาไฟสองแห่ง คือ
ภูเขาไฟวิสุเวียสและ
กัมปีเฟลเกรย์นาโปลีก่อตั้งขึ้นเมื่อ 800-900 ปีก่อนคริสตกาล
[3][4] ในฐานะ
อาณานิคมกรีก จึงจัดว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แรกเริ่มนั้นมีชื่อว่า Παρθενόπη Parthenope ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Νεάπολις Neápolis (เมืองใหม่) จัดเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญในพื้นที่
Magna Graecia โดยมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดวัฒนธรรมกรีกไปสู่สังคมโรมัน ต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางหลักทางวัฒนธรรมของ
สาธารณรัฐโรมัน โดย
เวอร์จิล กวีภาษาละตินที่มีชื่อเสียง ก็ได้เคยศึกษาวิชาที่นาโปลีและต่อมาก็ได้อาศัยอยู่ที่บริเวณชานเมือง
[5] ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ นาโปลีได้รับสืบทอดอิทธิพลทางศิลปะและสถาปัตยกรรมจากอารยธรรมต่าง ๆ มากมาย รูปแบบสถาปัตยกรรมที่เด่นชัดที่สุดที่ยังคงพบได้ในปัจจุบันถือกำเนิดมาจาก
ยุคกลาง สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และสมัย
บาโรกใจกลางนาโปลีเป็นศูนย์กลางเมืองทางประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
[6] (1,700 เฮกตาร์ หรือ 17 ตารางกิโลเมตร)
[7] และได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การ
ยูเนสโกให้เป็น
มรดกโลก ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมือง นาโปลีเคยมีฐานะเป็นเมืองหลวงของ Duchy และอาณาจักรต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งเคยเป็นเมืองหลวงของ
Crown of Aragon และยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญ (โดยเฉพาะในสมัยของ
ลัทธิมนุษยนิยมเรอเนสซองซ์ และตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึง 19) อิทธิพลของเมืองได้แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่หลายส่วนในยุโรปไปจนถึงนอกทวีป
[8] และรอบเมืองก็เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่าง ๆ (เช่น
พระราชวังกาแซร์ตา ปอมเปอี และ
เฮอร์คิวเลเนียม) ซึ่งล้วนแต่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดต่อนาโปลีในด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมนาโปลีเคยเป็นเมืองหลวงของ
ราชอาณาจักรนาโปลีตั้งแต่
พ.ศ. 1825 ถึง
พ.ศ. 2349 ต่อมาได้ถูกผนวกอาณาจักรเข้ากับ
ราชอาณาจักรซิซิลี และกลายเป็นเมืองหลวงของ
Kingdom of Two Sicilies จนกระทั่งอาณาจักรต่าง ๆ บนคาบสมุทรถูกผนวกรวมเป็นประเทศอิตาลีเมื่อ
พ.ศ. 2404 ซึ่งหลัง
สงคราม Neapolitan ฝ่ายนาโปลีก็ได้สนับสนุนการรวมประเทศนี้อย่างเต็มที่ภายในอาณาเขตการปกครองของนาโปลีมีประชากรประมาณ 1 ล้านคน แต่จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ระบุว่าเขต
ปริมณฑลของนาโปลีมีประชากรมากเป็นอันดับสอง (รองจากมหานคร
มิลาน ซึ่ง Svimez Data ระบุว่ามีผู้อยู่อาศัย 4,434,136 คน
[9] ขณะที่สถาบัน Censis ระบุว่ามี 4,996,084 คน)
[10] หรือสาม (ตามข้อมูลของ
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา มีผู้อยู่อาศัย 3.1 ล้านคน
[11]) ของอิตาลี นอกจากนี้ยังเป็นมหานครที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในอิตาลีนาโปลีถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากเป็นอันดับสี่ในอิตาลี รองจากมิลาน
โรม และ
ตูริน และถูกจัดให้เป็นเมืองที่ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 91 ของโลกโดยวัดจากกำลังซื้อของประชากร และมี
ผลิตภัณฑ์มวลรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเหนือกว่าเศรษฐกิจของ
บูดาเปสต์และ
ซูริก[12] ท่าเรือนาโปลีเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป (มีผู้โดยสารคับคั่งมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากท่าเรือ
ฮ่องกง)
[13] เมื่อไม่นานมานี้เศรษฐกิจของนาโปลีได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และอัตรา
การว่างงานของประชากรในเมืองและบริเวณโดยรอบก็ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่
พ.ศ. 2542[14] กระนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยการทุจริตทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ
[15] รวมทั้งเป็นแหล่ง
ตลาดมืดที่เฟื่องฟู ในตัวเมืองเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทขนาดใหญ่สัญชาติอิตาลีหลายแห่ง เช่น
MSC-Cruises และเป็นที่ตั้งของ Center Rai of Naples (สื่อ) มาตั้งแต่
พ.ศ. 2501 ขณะที่ในเขต
บัญโญลีเป็นที่ตั้งของสำนักงานขนาดใหญ่ของ
องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ และยังมี SRM institution for economic research และบริษัทและศูนย์การศึกษา OPE ที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองเช่นกัน
[16][17][18] นาโปลีเป็นสมาชิกเต็มของเครือข่าย
Eurocities[19] นอกจากนี้ ยังได้รับเลือกให้เป็นศูนย์กลางของ
Acp/Ue[20] และได้รับการยกย่องจาก
Creative Cities Network ในสังกัดขององค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองแห่งวรรณกรรม
[21] ในเขต
โปซิลลีโปของเมืองเป็นที่ตั้งของ
Vill Rosebery ซึ่งเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการหนึ่งในสามแห่งของ
ประธานาธิบดีอิตาลีในศตวรรษที่ 20 นาโปลีตกอยู่ภายใต้การปกครองของ
ลัทธิฟาสซิสต์ และในระหว่าง
สงครามโลกครั้งที่สองก็เป็นเมืองที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในอิตาลี
[22] ภายหลังสงครามสงบได้มีการบูรณะเมืองซึ่งได้ขยายตัวเมืองออกไปยังพื้นที่รอบนอก ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้ ได้มีการสร้างย่านธุรกิจ (
เชนโตรดีเรซีโอนาเล) ที่มีอาคารระฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานแบบ TGV ในโรม รวมถึงการขยายเส้นทางรถไฟใต้ดินที่จะครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของภูมิภาค และนาโปลีจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
International Astronautical Congress ใน
พ.ศ. 2555[23] และ
Universal Forum of Cultures ใน
พ.ศ. 2556นาโปลีเป็นเมืองที่เริ่มมีการทำ
พิซซาขึ้นเป็นครั้งแรก โดยในขณะนั้นจะใช้การทอดก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการอบในภายหลัง นอกจากนี้วัฒนธรรม Neapolitan ยังมีอิทธิพลด้านดนตรีอย่างแพร่หลาย อย่างเช่นการประดิษฐ์
Romantic guitar และ
แมนโดลิน รวมทั้ง
อุปรากรและเพลงท้องถิ่น บุคคลที่เป็นสัญลักษณ์ของนาโปลีคือนักบุญ
Januarius ผู้ปกป้องคุ้มครองเมือง ส่วนตัวละครจากเรื่องแต่งที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์คือ
พูลชิเนลลา และ
ไซเรน สิ่งมีชีวิตจากมหากาพย์
โอดิสซีของกรีก