ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ของ พระเจ้าหลุยส์ที่_16_แห่งฝรั่งเศส

วันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1789 กลุ่มผู้ประท้วงผู้โกรธแค้นซึ่งส่วนมากเป็นสตรีชนชั้นแรงงานชาวปารีสและได้รับการปลุกระดมโดยเหล่านักปฏิวัติ เดินขบวนสู่พระราชวังแวร์ซายที่ซึ่งพระบรมวงศ์ประทับอยู่ ณ รุ่งเช้า เหล่าผู้ประท้วงต่างพากันเข้าไปในเขตพระราชวังและพยายามปลงพระชนม์พระนางอ็องตัวแน็ต ผู้ซึ่งใช้ชีวิตหรูหราและสุขสบายอันเป็นสัญลักษณ์ที่น่าเกลียดชังของ อองเซียงเรฌีม เหตุการณ์ได้รับการคลี่คลายลงโดยนายพล ลา ฟาแย็ต ผู้นำกองทหารรักษาการณ์แห่งชาติ (ฝรั่งเศส: Garde nationale) ฝูงชนนำพระเจ้าหลุยส์และพระบรมวงศ์เสด็จแปรที่พำนักไปยังพระราชวังตุยเลอรีในกรุงปารีส โดยเชื่อว่าหากนำองค์กษัตริย์ไปพำนัก ณ กรุงปารีสซึ่งแวดล้อมไปด้วยประชาชนแล้ว จะทำให้พระเจ้าหลุยส์ทรงมีความรับผิดชอบต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น

ภาพแกะสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ปี ค.ศ. 1792 คำบรรยายใต้ภาพอ้างถึงวันที่ของคำปฏิญาณสนามเทนนิสและกล่าวสรุปไว้ว่า "พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระองค์เดิม ผู้ทรงรอคอยอย่างกล้าหาญจนกระทั่งบริวารของพระองค์กลับสู่ที่อยู่อาศัยของตนเพื่อวางแผนทำสงครามลับและแก้แค้นให้กับพระองค์"

หลักการที่ประมุขแห่งรัฐมาจากความนิยมของสาธารณชนของฝ่ายปฏิวัติ (ซึ่งพัฒนาไปเป็นหลักการประชาธิปไตยในยุคสมัยหลัง) แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากหลักการที่ประมุขแห่งรัฐมาจากการสืบทอดตำแหน่งตามสายเลือด อันเป็นหลักการสำคัญของการปกครองของฝรั่งเศสในอดีต ผลที่ตามมาก็คือหลักการใหม่ของฝ่ายปฏิวัตินี้ได้รับการต่อต้านจากชาวชนบทในฝรั่งเศสจำนวนมากมายและและรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านที่รายล้อมฝรั่งเศสในขณะนั้น เมื่อการปฏิวัติทวีความรุนแรงขึ้นและการควบคุมฝูงชนผู้ประท้วงทำได้ยากขึ้น บุคคลสำคัญของฝรั่งเศสหลายคนที่ร่วมจุดชนวนการปฏิวัติจึงเริ่มตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ที่จะตามมาในอนาคต เช่น ออนอเร มิราโบ เริ่มสมคบคิดอย่างลับ ๆ กับพระเจ้าหลุยส์ในการรื้อฟื้นพระราชอำนาจของกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญแบบใหม่

เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1791 มงต์มอแร็ง รัฐมนตรีการต่างประเทศเริ่มดำเนินการจัดตั้งกองกำลังปฏิวัติตอบโต้ อีกทั้งงบประมาณรายจ่ายสำหรับกษัตริย์ (ฝรั่งเศส: la Liste civile) ซึ่งได้รับการลงมติอนุมัติเป็นประจำทุกปีโดยสมัชชาแห่งชาติ ถูกปันส่วนอย่างลับ ๆ เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการดำรงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ อาร์โนลต์ ลาปอร์ต ผู้รับผิดชอบบัญชีรายชื่อพลเรือน ร่วมมือกับมงต์มอแร็งและมิราโบ ซึ่งภายหลังการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของมิราโบ มักซีมีเลียง ราดีซ์ เดอ แซ็งต์-ฟัวส์ นักการเงินการธนาคาร เข้าดำรงตำแหน่งแทน มีผลทำให้เขากลายเป็นหัวหน้าสภาองคมนตรีที่ปรึษาลับของพระเจ้าหลุยส์ ซึ่งเป็นคณะของบุคคลผู้พยายามรักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ ในท้ายที่สุดแผนการดังกล่าวประสบความล้มเหลว และได้รับการเปิดโปงจนกลายเป็นกรณีอื้อฉาว อาร์มัวร์เดอแฟร์ (ฝรั่งเศส: armoire de fer; ตู้เหล็ก)

การเสียชีวิตของมิราโบและความไม่เด็ดขาดของพระเจ้าหลุยส์ ส่งผลให้การเจรจาระหว่างกษัตริย์และนักการเมืองสายกลางอ่อนลงอย่างรุนแรง แต่ในอีกทางหนึ่ง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ยังคงมีท่าทีไม่หัวรุนแรงเท่าพระอนุชาทั้งสองอย่าง เคาน์แห่งโพรว็องส์[ต้องการอ้างอิง]และเคาน์แห่งอาร์ตัวส์ โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ส่งราชหัตถเลขาแก่พระอนุชาทั้งสองผ่านผู้ถูกเสนอชื่ออย่างลับ ๆ ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนอย่าง พระคาร์ดินัลโลเมนี เดอ บรีเยนน์ ร้องขอให้หยุดความพยายามก่อการปฏิวัติต่อต้าน ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง ทรงมีพระราชหฤทัยออกห่างรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากปฏิกิริยาด้านลบของรัฐบาลต่อบทบาทตามประเพณีของกษัตริย์และความเป็นอยู่ของเชื้อพระวงศ์ที่หรูหรา พระเจ้าหลุยส์ทรงรู้สึกระคายเคืองอย่างยิ่งจากการถูกคุมขังราวกับนักโทษในพระราชวังตุยเลอรี และจากการที่รัฐบาลใหม่ไม่อนุญาตให้ทรงมีผู้ไถ่บาปและนักบวชตามพระราชประสงค์

การเสด็จสู่วาแรน

ดูบทความหลักที่: การเสด็จสู่วาแรน

วันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1791 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระบรมวงศ์ เสด็จออกจากกรุงปารีสอย่างลับ ๆ ไปยังเมืองม็งต์เมดิซึ่งเป็นเมืองของฝ่ายกษัตริย์นิยมใกล้กับชายแดนฝรั่งเศสทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ซึ่งจะทรงเข้าร่วมกับพวก เอมิเกร (ฝรั่งเศส: émigrés) และได้รับการคุ้มครองจากออสเตรีย ในขณะที่สภาร่างนิติบัญญัติแห่งชาติทำงานอย่างอุตสาหะเพื่อให้ฝรั่งเศสมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้ พระเจ้าหลุยส์และพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ต ก็ทรงมีแผนการของพระองค์เอง พระเจ้าหลุยส์ทรงแต่งตั้งบารงแห่งเบรอเตยให้เทียบเท่ากับตำแหน่งทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม เพื่อไปเจรจากับประมุขแห่งรัฐอื่น ๆ ให้ร่วมกันก่อการปฏิวัติซ้อนขึ้น พระเจ้าหลุยส์ยังทรงสงวนท่าทีในการรับความช่วยเหลือจากต่างชาติ ทรงมีแนวคิดเช่นเดียวกับพระบิดาและพระมารดาที่ว่าพวกออสเตรียคือพวกทรยศชาติและพวกปรัสเซียคือพวกทะเยอทะยานเกินตน[33] ต่อมาขณะที่ความตึงเครียดในปารีสทวีความรุนแรงขึ้นและทรงถูกกดดันให้ยอมรับแนวทางของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งขัดกับพระราชประสงค์ส่วนพระองค์ พระเจ้าหลุยส์และพระนางอ็องตัวแน็ตทรงวางแผนเสด็จหนีออกจากฝรั่งเศสอย่างลับ ๆ ที่เมื่อสำเร็จแล้ว ทรงหวังจะรวมกองกำลังทหารจากความช่วยเหลือของพวกเอมิเกรส์รวมไปถึงชาติอื่น ๆ ในยุโรปเพื่อเข้ายึดฝรั่งเศสกลับมาจากฝ่ายปฏิวัติ แผนการนี้เองที่เป็นตัวบ่งชี้เจตนารมณ์ทางการเมืองในการนำฝรั่งเศสออกจากความวุ่นวาย โดยในท้ายที่สุด แนวคิดและแผนการดังกล่าวถูกใช้เป็นหลักฐานเพื่อสำเร็จโทษพระองค์ในข้อหา "ทรยศต่อประเทศชาติ"[34] อย่างไรก็ตาม ความไม่เด็ดขาดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับฝรั่งเศสของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้ทรงเสด็จ ฯ หลบหนีไม่สำเร็จ พระบรมวงศ์ทรงถูกจับกุม ณ เมืองวาแรน ไม่นานหลังจากที่ฌ็อง-บาติสต์ ดรูเอต์ ผู้สามารถจดจำพระเจ้าหลุยส์จากพระฉายาลักษณ์บนธนบัตรใบละ 50 ลีฟว์ได้[35] พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระบรมวงศ์ทรงถูกนำกลับสู่กรุงปารีสและเสด็จถึงในวันที่ 25 มิถุนายน ทรงถูกมองจากสาธารณชนอย่างสงสัยว่าเป็นผู้ทรยศต่อชาติและทรงถูกกักบริเวณ ณ พระราชวังตุยเลอรี

ในทัศนะส่วนน้อย ความล้มเหลวของแผนการเสด็จ ฯ หนีมีสาเหตุมาจากระลอกของความโชคร้าย ความล่าช้า ความเข้าใจผิด และการใช้วิจารณญาณที่ไม่ดีพอ[36] แต่ในขณะที่ทัศนะส่วนมากมองว่าความล้มเหลวดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความเด็ดขาดของพระเจ้าหลุยส์ - ทรงเลื่อนแผนการดังกล่าวออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทรงปล่อยให้ปัญหาเล็กน้อยบานปลายเป็นปัญหาใหญ่ ทรงคิดว่ามีเพียงพวกหัวรุนแรงจำนวนไม่มากในปารีสก่อการปฏิวัติที่คนส่วนมากของประเทศไม่เห็นด้วย และทรงเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่าทรงเป็นที่รักใคร่ของชนชั้นเกษตรกรและชาวบ้านทั่วไป[37] ในระยะสั้นแล้ว การเสด็จหนีที่ล้มเหลวในครั้งนี้สร้างบาดแผลไว้ให้แก่ฝรั่งเศส กระตุ้นให้เกิดกระแสความปวดร้าว ความคับแค้น และความตื่นตระหนกในความรู้สึกของสาธารณชนทั่วไป ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่าสงครามขยับใกล้เข้ามาทุกขณะ และตระหนักได้ลึกยิ่งขึ้นว่ากษัตริย์ของพวกเขาแท้ที่จริงแล้วทรงต่อต้านการปฏิวัติ และยิ่งสร้างความตกตะลึงอย่างใหญ่หลวงในหมู่คนที่ยังคงเชื่อว่าพระเจ้าหลุยส์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ดีและปกครองในฐานะโองการของพระเจ้า พวกเขารู้สึกถูกทรยศ ผลที่ตามมาก็คือลัทธิสาธารณรัฐนิยมปะทุขึ้นในร้านกาแฟทั่วทุกหนแห่งและกลายมาเป็นปรัชญาหลักของการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว[38]

การแทรกแซงจากต่างชาติ

ในขณะเดียวกันนั้นเอง กษัตริย์ยุโรปพระองค์อื่น ๆ ต่างทอดพระเนตรสถานการณ์ในฝรั่งเศสอย่างกังวลพระทัย ทรงพินิจว่าควรจะแทรกแซงฝรั่งเศสด้วยการเข้าสนับสนุนพระเจ้าหลุยส์ หรือควรจะฉกฉวยความได้เปรียบจากความวุ่นวายที่กำลังดำเนินไป บุคคลสำคัญในประเด็นนี้ก็คือ จักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระเชษฐาในพระนางมารี อ็องตัวแน็ต ซึ่งเริ่มแรกจักรพรรดิเลโอโปลด์ทอดพระเนตรการปฏิวัติว่าเป็นเพียงความวุ่นวายเล็กน้อย แต่ทรงวิตกกังวลมากขึ้นเมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรงจนกระทั่งไม่สามารถควบคุมไว้ได้ ถึงอย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ยังทรงหวังว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงสงครามกับฝรั่งเศสได้

ในวันที่ 27 สิงหาคม จักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 2 และพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 2 แห่งปรัสเซีย พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาซึ่งเป็นขุนนางฝรั่งเศสฝ่าย เอมิเกร์ ออกคำประกาศพิลนิทซ์ (Declaration of Pillnitz) ซึ่งแสดงความกังวลพระทัยของบรรดากษัตริย์ยุโรปต่อความผาสุขของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระบรมวงศ์ฝรั่งเศส ทั้งยังแสดงท่าทีคุกคามและกล่าวอย่างเป็นนัยถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายที่จะตามมาหากกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ฝรั่งเศสได้รับภยันตรายใด ๆ และแม้ว่าจักรพรรดิเลโอโปลด์จะทอดพระเนตรคำประกาศฉบับนี้ว่าเป็นแนวทางแสดงความกังวัลพระทัยเกี่ยวกับสถานการณ์ในฝรั่งเศสอย่างง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องใช้แนวทางด้านการทหารหรือการเงินใด ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ดังกล่าว แต่เหล่าผู้นำการปฏิวัติในปารีสกลับตอบสนองต่อคำประกาศนี้ด้วยความหวาดกลัว โดยมองว่าเป็นภัยคุกคามจากต่างชาติที่ต้องการจะบ่อนทำลายอธิปไตยของฝรั่งเศส

ทั้งนี้ นอกเหนือจากความแตกต่างทางด้านแนวคิดและอุดมการณ์ระหว่างฝรั่งเศสและบรรดาสิทธิราชย์แห่งยุโรปแล้ว ยังปรากฏความขัดแย้งต่าง ๆ อาทิเช่น ความขัดแย้งเรื่องสถานะสินทรัพย์ของออสเตรียในแคว้นอาลซัส และความกังวลของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติเรื่องการก่อกวนของขุนนางฝ่ายเอมิเกร์ที่อยู่นอกฝรั่งเศส โดยเฉพาะในเนเธอร์แลนด์ของออสเตรียและในบรรดาจุลรัฐของเยอรมนี

ในช่วงท้าย สภานิติบัญญัติซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยพระเจ้าหลุยส์ เป็นฝ่ายประกาศสงครามต่อจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ก่อน โดยได้รับการลงคะแนนญัตติดังกล่าวในวันที่ 20 ค.ศ. 1792 ภายหลังจากได้รับการร้องทุกข์จำนวนมากผ่านรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ชาลส์ ฟร็องซัวส์ ดูมูรีเยส์ ทั้งนี้ดูมูรีเยส์ได้เตรียมรุกรานเข้าไปยังเนเธอร์แลนด์ของออสเตรียอย่างฉับพลัน ที่ที่เขาคาดการณ์ว่าประชาชนในท้องถิ่นจะร่วมลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของออสเตรีย อย่างไรก็ตาม กองกำลังฝ่ายปฏิวัติขาดการจัดการที่ดีและกองกำลังลุกฮือมีจำนวนไม่มากพอสำหรับการรุกราน ส่งผลให้แผนการดังกล่าวประสบความล้มเหลว เหล่านายทหารต่างพากันถอยหนีออกจากสมรภูมิรบ ทั้งนี้ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1792 ยังเกิดกรณีสังหารผู้บังคับบัญชาระดับนายพลของตนนามว่า เคาน์เตโอบาลด์แห่งดิลอน ซึ่งมีสัญชาติไอร์แลนด์ เนื่องจากเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ[39]

เหตุการณ์บุกทำลายพระราชวังตุยเลอรี ณ วันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1792

ในขณะที่รัฐบาลฝ่ายปฏิวัติกำลังจัดตั้งและจัดวางโครงสร้างของกองทัพใหม่อย่างแข็งขัน กองทัพผสมปรัสเซีย-ออสเตรียภายใต้การบัญชาการของ คาร์ล วิลเฮล์ม แฟร์ดีนันด์ ดยุกแห่งเบราน์ชไวค์ รวมพล ณ เมืองโคเบลนซ์ (Koblenz) ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ การรุกรานของฝ่ายปรัสเซีย-ออสเตรียเริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคมและสามารถเข้ายึดป้อมปราการแห่งล็องก์วี (ฝรั่งเศส: Longwy) และแวร์เดิง จากนั้นในวันที่ 25 กรกฎาคม ดยุกแห่งเบราน์ชไวค์ออกแถลง คำประกาศเบราน์ชไวค์ (Brunswick Manifesto) ซึ่งถูกร่างขึ้นโดยพระญาติฝ่ายเอมิเกร์ของพระเจ้าหลุยส์นามว่า หลุยส์ โฌแซ็ฟ แห่งบูร์บง เจ้าชายแห่งกงเด (ฝรั่งเศส: Louis Joseph de Bourbon, Prince de Condé) เพื่อประกาศเจตนารมณ์ร่วมของชาวออสเตรียและชาวปรัสเซียในการคืนสิทธิราชย์ทั้งมวลแก่พระเจ้าหลุยส์ และเพื่อดำเนินการในข้อหากบฏกับบุคคลใดหรือเมืองใดก็ตามที่ต่อต้านชาวออสเตรียและปรัสเซีย ซึ่งบุคคลนั้นหรือเมืองนั้นจะได้รับการกล่าวโทษด้วยกฏอัยการศึกถึงขั้นประหารชีวิต

แม้กระนั้น คำประกาศเบราน์ชไวค์กลับให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับจุดประสงค์แรกเริ่ม คือเพื่อเสริมสร้างพระราชสถานะของพระเจ้าหลุยส์ในปารีสและตัดรอนกระแสการปฏิวัติ หากแต่ยิ่งบั่นทอนพระราชสถานะของพระเจ้าหลุยส์ที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากอยู่แต่เดิมแล้วให้ยิ่งเลวร้ายไปมากกว่าเดิม หลายคนถือว่าคำประกาศนี้คือหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ยืนยันว่าพระเจ้าหลุยส์ทรงสมคบคิดกับชาวต่างชาติในการต่อต้านประเทศชาติของพระองค์เอง ความโกรธแค้นของประชาชนดำเนินมาถึงจุดเดือดในวันที่ 10 เดือนสิงหาคม เมื่อกองกำลังติดอาวุธภายใต้การสนับสนุนของเทศบาลเมืองปารีสชุดใหม่ที่รู้จักกันในชื่อกอมมูนปารีส เข้าปิดล้อมพระราชวังตุยเลอรี ส่งผลให้พระบรมวงศ์ต้องเสด็จลี้ไปพำนัก ณ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

ใกล้เคียง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ

แหล่งที่มา

WikiPedia: พระเจ้าหลุยส์ที่_16_แห่งฝรั่งเศส http://books.google.com/books?id=Fk_RaalNQAQC&pg=P... http://books.google.com/books?id=nc7H1eQiArQC&pg=P... http://www.newyorker.com/printables/archive/021007... http://historyproject.ucdavis.edu/ic/standard/5.00... http://assignat.fr/1-assignat/ass-04a http://belleindochine.free.fr/2TraiteVersaillesEve... http://www.historyofcircumcision.net/index.php?opt... http://www.tigerandthistle.net/tipu315.htm http://booking-help.org/book_338_glava_314_Edict_o... http://www.bbc.co.uk/news/world-europe-20882305