กรณีศึกษา ของ ภาวะไม่รู้ความเคลื่อนไหว

คนไข้ของพ็อตเซิล และเร็ดลิช

ในปี ค.ศ. 1911 พ็อตเซิลและเร็ดลิช รายงานถึงคนไข้หญิงวัย 58 ปีผู้หนึ่ง ผู้มีความเสียหายในสมองด้านหลังทั้งสองซีก[1] เธอได้พรรณนาถึงการเคลื่อนไหวเหมือนกับว่า วัตถุอยู่นิ่งๆ แต่ปรากฏในตำแหน่งต่างๆ สืบต่อกัน นอกจากนั้นแล้ว เธอยังสูญเสียลานสายตาไปมาก และมี ภาวะเสียการสื่อความโดยชื่อ (anomic aphasia[13])

คนไข้ของโกลด์สไตน์และเก็ลบ์

ในปี ค.ศ. 1918 โกลด์สไตน์และเก็ลบ์ รายงานถึงชายวัย 24 ปีผู้ประสบกับแผลกระสุนปืนในสมองด้านหลัง[1] คนไข้รายงานว่าไม่มีการรับรู้ความเคลื่อนไหว คือ เขาสามารถกำหนดตำแหน่งใหม่ของวัตถุหนึ่ง เช่นซ้าย ขวา บน ล่างได้ แต่ว่า ไม่เห็น "อะไรๆ ในระหว่าง"[1]

แม้ว่า โกลด์สไตน์และเก็ลบ์ได้เชื่อว่า คนไข้มีความเสียหายในสมองกลีบท้ายทอยซีกซ้ายส่วนข้าง (lateral) และส่วนกลาง (medial) ภายหลังกลับปรากฏว่าสมองกลีบท้ายทอยทั้งสองซีกมีปัญหา เพราะปรากฏความสูญเสียลานสายตาร่วมศูนย์กลาง (คือเป็นวงกลมเริ่มจากศูนย์กลาง) ทั้งสองข้าง คือคนไข้เสียลานสายตาไปมากกว่า 30 องศาและไม่สามารถบ่งชี้วัตถุทางตาโดยชื่อ[1]

คนไข้ชื่อแอลเอ็ม

รายละเอียดที่รู้กันทุกวันนี้เกี่ยวกับภาวะบอดความเคลื่อนไหว มาจากการศึกษาคนไข้ชื่อ แอลเอ็ม (LM) เป็นหญิงวัย 43 ปีที่รับเข้าโรงพยาบาลในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1978 ผู้บ่นถึงอาการปวดศีรษะและอาการรู้สึกหมุน[5] LM ถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือด (thrombosis) ใน superior sagittal sinus (โพรงไซนัสแบ่งซ้ายขวาด้านบน) ซึ่งมีผลให้เกิดรอยโรคในคอร์เทกซ์สายตาด้านหลังที่สมมาตรในสมองทั้งสองข้าง รอยโรคเหล่านี้ถูกยืนยันด้วยภาพสมองโดยโพซิตรอนอีมิสชันโทโมกราฟี (PET) และการสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI) ในปี ค.ศ. 1994[2]

LM มีการรับรู้ความเคลื่อนไหวที่น้อยมาก ซึ่งอาจจะได้รับการรักษาไว้โดยเป็นกิจของ V1 หรือกิจของเขตสายตาในชั้นสูงๆ ขึ้นไป หรือกิจที่ไม่ถูกทำลายใน V5[1][7]

LM ไม่พบวิธีรักษาใดๆ ที่ได้ผล ดังนั้น จึงฝึกที่จะหลบเลี่ยงสถานการณ์ที่มีตัวกระตุ้นที่เคลื่อนไหวหลายๆ ตัว เช่นโดยไม่มองหรือไม่เพ่งดูตัวกระตุ้นเหล่านั้น เธอได้พัฒนาวิธีการบรรเทาปัญหาที่มีประสิทธิภาพ จนสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ นอกจากนั้นแล้ว เธอยังสามารถประเมินระยะทางของยานพาหนะที่เคลื่อนไหวโดยใช้เสียง เพื่อที่จะข้ามถนนได้[5][7]

LM ถูกทดสอบในในความสามารถ 3 อย่างเทียบกับหญิงวัย 24 ปีผู้มีการเห็นที่ปกติ คือ

การเห็นทางตาอย่างอื่น ๆ นอกจากการเห็นความเคลื่อนไหว

ไม่ปรากฏหลักฐานว่า LM มีความบกพร่องในการแยกแยะสีไม่ว่าจะเป็นส่วนกลางหรือส่วนนอกของลานสายตา เวลาในการรู้จำวัตถุและศัพท์ทางตา สูงกว่าปกติเล็กน้อยเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่ไม่มีความหมายที่สำคัญทางสถิติ เธอมีลานสายตาที่เป็นปกติและไม่มีดวงมืดในลานเห็น (scotoma)

ปัญหาในการเห็นความเคลื่อนไหว

ความรู้สึกของ LM เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวขึ้นอยู่กับทิศทางของความเคลื่อนไหว (คือแนวนอน หรือแนวตั้ง) ความเร็ว และถ้าเธอเพ่งตรึงอยู่ที่ตรงกลางของทางการเคลื่อนไหว หรือติดตามวัตถุนั้นด้วยตาหรือไม่ แสงสว่างวงกลมถูกใช้เป็นตัวกระตุ้นเป้าหมาย

ในการทดลองหลายงาน LM แจ้งว่า มีความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในแนวนอนที่ความเร็ว 14 องศาต่อวินาที ในจุดลานสายตาหนึ่ง เมื่อกำลังเพ่งตรึงดูที่ตรงกลางของทางการเคลื่อนไหว โดยมีความยากลำบากในการเห็นความเคลื่อนไหวที่มีความเร็วที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่านี้ ถ้าสามารถติดตามแสงทดลองที่กำลังเคลื่อนอยู่ด้วยตา เธอจะมีการเห็นการเคลื่อนไหวแนวนอนบางอย่างจนกระทั่งถึงระดับความเร็ว 18 องศาต่อวินาที

สำหรับการเคลื่อนไหวแนวตั้ง LM สามารถเห็นความเคลื่อนไหวที่มีความเร็วน้อยกว่า 10 องศาต่อวินาที ถ้าเพ่งตรึง (ที่ตรงกลางของทางการเคลื่อนไหว), หรือจนกระทั่งถึงความเร็ว 13 องศาต่อวินาที ถ้าติดตามจุดที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยตา เธอพรรณนาประสบการณ์รับรู้ของตัวกระตุ้นที่มีความเร็วสูงกว่า 18 (แนวนอน) และ 13 (แนวตั้ง) องศาต่อวินาทีว่า "จุดแสงหนึ่งซ้ายหรือขวา" หรือ "จุดแสงบนหรือล่าง" และ "บางครั้ง ตำแหน่งต่างๆ ในระหว่างไปตามลำดับ" แต่ไม่เคยเลยว่า เป็นความเคลื่อนไหว[5]

การเคลื่อนไหวในแนวลึก

เพื่อที่จะกำหนดการรับรู้ความเคลื่อนไหวในแนวลึก ผู้ทำการทดลองได้ทำการเคลื่อนลูกบาศก์ไม้สีดำบนโต๊ะ ไปทางคนไข้หรือไปจากคนไข้ ในเขตที่คนไข้เห็นได้ หลังจากการทดลอง 20 ครั้งที่ความเร็ว 3 หรือ 6 องศาต่อวินาที คนไข้ไม่มีความรู้สึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว แต่ว่า เธอรู้ว่า วัตถุนั้นได้เปลี่ยนตำแหน่ง รู้ขนาดของลูกบาศก์นั้น และสามารถตัดสินระยะห่างของลูกบาศก์นั้นกับวัตถุอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ได้อย่างถูกต้อง[5]

ส่วนในและส่วนนอกของลานสายตา

การตรวจจับความเคลื่อนไหวในส่วนในและส่วนนอกของลานสายตาถูกทดสอบ ภายในลานสายตาด้านใน LM สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวบางอย่างได้ โดยที่ความเคลื่อนไหวในแนวนอนง่ายที่จะแยกแยะกว่าความเคลื่อนไหวในแนวตั้ง ในลานสายตารอบนอก LM ไม่สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวในทิศทางใดๆ เลย ความสามารถในการตัดสินความเร็วก็ถูกทดลองด้วย เธอประเมินความเร็วที่สูงกว่า 12 องศาต่อวินาทีต่ำเกินไป[5]

ปรากฏการณ์หลังตัวกระตุ้นเคลื่อนไหว และปรากฏการณ์ฟาย

การทดลองด้วยปรากฏการณ์หลังตัวกระตุ้นเคลื่อนไหว (motion aftereffect[14]) โดยใช้ลายริ้วในแนวตั้งที่เคลื่อนไปในแนวขวาง และลายก้นหอยที่หมุนไป เธอสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวในลายทั้งสอง แต่แจ้งว่า มีปรากฏการณ์หลังตัวกระตุ้นเคลื่อนไหวของลายริ้วในการทดลอง 3 ครั้งใน 10 และไม่รายงานปรากฏการณ์หลังของลายก้นหอยเลยโดยประการทั้งปวง นอกจากนั้นแล้ว เธอก็ไม่แจ้งถึงความเคลื่อนไหวในแนวลึกของลายก้นหอยเลย

ส่วนในการทดลองด้วยปรากฏการณ์ฟาย (phi phenomenon[15]) จุดกลมๆ 2 จุดปรากฏโดยสลับกัน สำหรับคนปกติแล้ว ย่อมปรากฏว่า จุดหนึ่งเคลื่อนที่จากตำหน่งหนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง แต่สำหรับ LM แล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีการอย่างไร เธอก็ไม่เห็นการเคลื่อนไวใดๆ เลย เธอแจ้งทุกครั้งว่า เป็นจุดแสง 2 จุดที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน[5]

การเคลื่อนมือและตา โดยอาศัยการติดตามด้วยตา

LM สามารถติดตามทิศทางของเส้นลวดที่ยึดไว้กับแผ่นกระดานด้วยนิ้วชี้มือขวา การทดลองทำโดยอาศัยสัมผัสอย่างเดียวเท่านั้น (โดยปิดตา) หรืออาศัยตาอย่างเดียวเท่านั้น (มีกระจกปิดกระดานอยู่) หรือโดยสัมผัสและตา เธอทำได้ดีที่สุดในกรณีสัมผัสอย่างเดียวเท่านั้น และแย่ที่สุดในกรณีตาอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เธอไม่ได้รับประโยชน์อะไร ๆ จากข้อมูลทางตาในกรณีสัมผัสและตา เธอรายงานว่า ปัญหาอยู่ระหว่างนิ้วกับตา คือ เธอไม่สามารถติตตามนิ้วของเธอด้วยตาได้ ถ้าเธอเคลื่อนนิ้วของเธอเร็วเกินไป[5]

การทดลองอื่นๆ

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

คนไข้โรคอัลไซเมอร์ของเพแลคและฮอยต์

ในปี ค.ศ. 2000 ชายวัย 70 ปี ปรากฏอาการของภาวะบอดความเคลื่อนไหว เขาได้หยุดขับรถเมื่อ 2 ปีก่อนเพราะว่าไม่สามารถ "เห็นความเคลื่อนไหวเมื่อขับรถ" ได้[6] ภรรยาของเขาสังเกตเห็นว่า เขาไม่สามารถตัดสินความเร็วหรือระยะห่างของรถอีกคันหนึ่ง เขามีปัญหาในการดูโทรทัศน์ที่มีกิจกรรมหรือมีการเคลื่อนไหวมาก เช่นการกีฬา หรือทีวีโชว์ที่เต็มไปด้วยกิจกรรม

เขามักจะวิจารให้ภรรยาของตนฟังว่า เขาไม่สามารถเห็นอะไรๆ ที่เกิดขึ้นได้[6] เมื่อวัตถุหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหว มันก็จะหายไป แต่ว่า เขาสามารถดูข่าวได้ เพราะว่าไม่มีการเคลื่อนไหวมาก นอกจากนั้นแล้ว เขายังปรากฏอาการของ Balint's syndrome คือ simultanagnosia[16] อย่างอ่อนๆ optic ataxia[17] และ oculomotor apraxia[18][6]

คนไข้ TBI ของเพแลคและฮอยต์

ในปี ค.ศ. 2003 ชายวัย 60 ปีบ่นว่าไม่สามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวทางตาที่เกิดขึ้นหลัง traumatic brain injury (แผลบาดเจ็บในสมอง ตัวย่อ TBI) เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่เสาไฟต้นสนขนาดใหญ่หักลงมาตีศีรษะของตน[6] เขาได้ให้ตัวอย่างปัญหาของตนในฐานะผู้ล่าสัตว์ คือ เขาไม่สามารถสังเกตเห็นสัตว์ที่ล่า ไม่สามารถติดตามนักล่าคนอื่น และไม่สามารถเห็นสุนัขของตนที่เข้ามาหา แทนที่การเห็นโดยปกติ วัตถุเหล่านี้ปรากฏแก่เขาในตำแหน่งหนึ่ง แล้วก็อีกตำแหน่งหนึ่ง โดยไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ ในระหว่างตำแหน่ง 2 ที่เหล่านั้น เขามีปัญหาในการขับรถและติดตามการสนทนาเป็นกลุ่ม เขาจะหลงตำแหน่งเมื่ออ่านหนังสือไม่ว่าจะเป็นในแนวตั้งหรือในแนวนอน และไม่สามารถจินตนาการภาพ 3 มิติจากแผนผัง 2 มิติ[6]

ใกล้เคียง

ภาวะไม่รู้ใบหน้า ภาวะไม่รู้ความเคลื่อนไหว ภาวะไข้สูง ภาวะไม่ทนต่อแล็กโทส ภาวะไม่มีการสร้างของระบบท่อมุลเลอเรียน ภาวะไม่มีแกมมาโกลบูลินในเลือดที่ถ่ายทอดทางโครโมโซมเพศ ภาวะไม่ทนต่อฟรุกโทสกรรมพันธุ์ ภาวะไตเสื่อมมีน้ำคั่ง ภาวะไม่รู้ ภาวะไตวาย