ประวัติ ของ ภูเก็ตฮกเกี้ยน

ประวัติศาสตร์ของการที่ชาวจีนอพยพมาประเทศไทย ต้องย้อนกลับไปหลายร้อยปี

สมัยสุโขทัย

ชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก

สมัยอยุธยา

ชาวจีนได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่มาก โดยส่วนมากจะมาจากตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อมาตั้งรกรากและทำการค้า

สมัยธนบุรี

เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 จนถึงปี พ.ศ. 2312 จักรวรรดิจีนได้ถูกรุกรานโดยพม่าที่กำลังขยายแสนยานุภาพ จักรพรรดิจีนในสมัยนั้นได้ส่งกองกำลังไปปราบปรามพม่าถึง 4 ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ฝ่ายจีนก็ได้เบนความสนใจมาที่กองทัพพม่าในอาณาจักรอยุธยา ซึ่งกำลังถูกพม่ายึดครอง ขุนพลไทยนาม "สิน" ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบกู้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นคนจีน

เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล

สมัยรัตนโกสินทร์

การอพยพของชาวจีนยุคแรก ส่วนมากเป็นผู้ชาย เมื่อเข้ามาตั้งรกรากแล้วก็จะแต่งงานกับผู้หญิงไทย และกลายเป็นค่านิยมในสมัยนั้น ลูกหลานจากการแต่งงานข้ามเชื้อชาตินี้เรียกว่า "ลูกจีน" แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ กระแสการอพยพเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงจีนอพยพเข้ามาในสยามมากขึ้น จึงทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติลดลง

การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ

ในรัชสมัยปลายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ประเทศไทยต้องระวังผลกระทบจากการที่ฝรั่งเศสได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และอังกฤษได้มลายูเป็นอาณานิคม ในขณะเดียวกัน ชาวจีนจากมณฑลยูนนานก็เริ่มไหลเข้าสู่ประเทศไทย กลุ่มชาวไทยชาตินิยมจากทุกระดับจึงได้เกิดความคิดต่อต้านชาวจีนขึ้น หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ ชาวจีนกุมเศรษฐกิจการค้าส่วนใหญ่ไว้ และยังได้รับอำนาจผูกขาดการค้าและรวมถึงการเป็นนายอากรเก็บภาษีซึ่งเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วย ในขณะนั้นอิทธิพลทางการค้าของชาติตะวันตกก็สูงขึ้น ทำให้พ่อค้าขาวจีนหันไปขายฝิ่นและเป็นนายอากรมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าของโรงสีและพ่อค้าข้าวคนกลางชาวจีนยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสยามในปีซึ่งกินเวลาเกือบ 10 ปี หลังปี พ.ศ. 2448 ด้วย

การให้สินบนขุนนาง กลุ่มอันธพาลอั้งยี่ และการเก็บภาษีอย่างกดขี่ ทั้งหมดนี้จุดประกายให้คนไทยเกลียดชังคนจีนมากขึ้น ในขณะเดียวกันอัตราการอพยพเข้าประเทศไทยก็มากขึ้น ในพ.ศ. 2453 เกือบร้อยละ 10 ของประชากรไทยเป็นชาวจีน ซึ่งผู้อพยพใหม่เหล่านี้มากันทั้งครอบครัวและปฏิเสธที่จะอยู่ในชุมชนและสังคมเดียวกับคนไทย ซึ่งต่างกับผู้อพยพยุคแรกที่มักแต่งงานกับคนไทย ดร.ซุน ยัตเซ็น ผู้นำการปฏิวัติประเทศจีน ได้เผยแพร่ความคิดให้ชาวจีนในประเทศไทยมีความคิดชาตินิยมจีนให้มากขึ้นเพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ชุมชนชาวจีนจะสนับสนุนการตั้งโรงเรียนเพื่อลูกหลานจีนโดยเฉพาะโดยไม่เรียนรวมกับเด็กไทย ในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงให้ชาวต่างชาติในประเทศไทยจดทะเบียนเป็นคนต่างด้าว เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องเลือกว่าจะเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์หรือจะยอมเป็นคนต่างด้าว

ชาวไทยเชื้อสายจีนจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารซึ่งเริ่มในประมาณพ.ศ. 2475 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการประกาศอาชีพสงวนของคนไทยเท่านั้น เช่น การปลูกข้าว ยาสูบ อีกทั้งประกาศอัตราภาษีและกฎการควบคุมธุรกิจของชาวจีนใหม่ด้วย ซึ่งในช่วงนี้รัฐบาลได้มีนโยบายรัฐนิยม ทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับผลกระทบอย่างมากในเรื่องของการดูถูกและเหยียดเชื้อชาติ เช่น การไม่ส่งเสริมให้พูดภาษาจีน อันเป็นภาษาต่างด้าว ในที่สาธารณะ ทำให้ก่อนและหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน มีการทะเลาะวิวาทแบบยกพวกเข้าตีกันหลายต่อหลายครั้งระหว่างคนไทยกับคนไทยเชื้อสายจีน หรือคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านเยาวราช ซึ่งเรียกกันว่า "เลี๊ยะพ่ะ" ซึ่งความขัดแย้งอันนี้ได้ลุกลามบานปลายจนจะกลายเป็นปัญหาเชื้อชาติ แต่ได้ยุติลงเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ได้เสด็จประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรที่เยาวราช ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ก่อนเสด็จสวรรคตไม่นาน [33] [34]

และหลังจากที่จอมพล ป. หวนสู่อำนาจอีกครั้งในปี พ.ศ. 2490-พ.ศ. 2491 ทางรัฐบาลจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนได้จับตาดูทีท่าของจอมพล ป. แต่ในรัฐบาลชุดหลังนี้ ได้มีการสานสัมพันธ์กับทางการจีนอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีการส่งผู้แทนของรัฐบาลดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลจีนอย่างลับ ๆ[35]

ในขณะที่มีการปลุกระดมชาตินิยมจีนและไทยขึ้นพร้อมกัน ในปี พ.ศ. 2513 ลูกหลานจีนที่เกิดในไทยมากกว่าร้อยละ 90 ถือสัญชาติไทยโดยสมบูรณ์ และเมื่อมีการเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการแล้วในปี พ.ศ. 2518 ชาวจีนที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ก็มีสิทธิที่จะเลือกที่จะถือสัญชาติไทยได้ แต่หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ไม่นาน รัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ก็มีนโยบายในแบบอนุรักษนิยม ซึ่งเป็นผลมาจากความหวาดกลัวในการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับการเหยียดหยามอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ. 2522 นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกกฎหมายให้ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดในประเทศไทย จะมีสิทธิเลือกตั้งได้ก็ต่อเมื่อได้ไปลงทะเบียนก่อนและต้องมีการศึกษาขั้นต่ำมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ.3) ซึ่งต่อมากฎหมายฉบับนี้ก็ได้รับการยกเลิกในที่สุด[36]

การครอบงำเศรษฐกิจ

ประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นเศรษฐกิจแบบเกษตรที่มีรัฐวิสาหกิจแซมอยู่ ชาวจีนเป็นแรงกระตุ้นสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ โดยเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไทยให้เป็นเศรษฐกิจการค้าแบบเน้นการส่งออกทั่วโลก[37]:261 แม้มีนโยบายเน้นการยืนยันสิทธิประโยชน์ของทางการในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเพื่อส่งเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจของไทยพื้นเมือง อีกหลายทศวรรษต่อมา นโยบายแบบเน้นสากลและเน้นตลาดทุนนิยมทำให้เกิดภาคการผลิตขึ้น ซึ่งทำให้ประเทศไทยเข้าสู่เศรษฐกิจแบบลูกเสือ[7]:35 บริษัทการผลิตและนำเข้า-ส่งอออกเกือบทั้งหมดมีชาวจีนควบคุมอยู่[7]:35[38] และถึงแม้มีจำนวนน้อย แต่ชาวจีนควบคุมแทบทุกสายธุรกิจ ตั้งแต่การค้าปลีกขนาดเล็กจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ครอบงำการส่งออกข้าว ดีบุก ยางและไม้ และการค้าส่งและปลีกเกือบทั้งหมดของประเทศ[39] ร้อยละ 70 ของร้านค้าปลีกและร้อยละ 80–90 ของโรงสีข้าวในประเทศยังถูกชาติพันธุ์จีนควบคุม[7]:179[40]:55 การสำรวจกลุ่มธุรกิจที่ทรงอำนาจมากที่สุดของไทยจำนวน 70 กลุ่ม พบว่า 67 กลุ่มมีไทยเชื้อสายจีนเป็นเจ้าของ[7]

สมาคมกงสีไทยเชื้อสายจีนในกรุงเทพมหานครมีความโดดเด่นขึ้นทั่วกรุง โดยกงสีเป็นผู้ถือครองทรัพย์สินรายใหญ่[41]:193 ชาวจีนควบคุมกว่าร้อยละ 80 ของบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย[42][43] ที่ดินที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ทั้งหมดในภาคกลางของประเทศมีไทยเชื้อสายจีนเป็นเจ้าของ[7]:182 ตระกูลชาติพันธุ์จีนห้าสิบตระกูลควบคุมภาคธุรกิจทั้งหมดของประเทศเทียบเท่ากับมูค่าตลาดรวมร้อยละ 81–90 ของเศรษฐกิจ[44][45][46]:10[47][48][11]:15 บุคคลรวยที่สุดกว่าร้อยละ 80 ของบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศ 40 คนเป็นไทยเชื้อสายจีน[49] ผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีนมีอิทธิพลในอสังหาริมทรัพย์ เกษตรกรรม การธนาคารและการเงิน และอตุสาหกรรมค้าส่ง[41]:193[50] ในคริสต์ทศวรรษ 1990 บริษัทใหญ่สุดในประเทศ 9 ใน 10 บริษัทมีชาวจีนเป็นผู้ควบคุม และในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 เศรษฐีพันล้านห้าคนในประเทศ ทั้งหมดเป็นไทยเชื้อสายจีน[51][10]:22[52]

เมื่อถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 ชาติพันธุ์จีนเป็นเจ้าของธุรกิจและผู้จัดการธุรกิจอาวุโสร้อยละ 70 ของกรุงเทพมหานคร และกล่าวกันว่าหุ้นในบริษัทไทยร้อยละ 90 มีไทยเชื้อสายจีนเป็นเจ้าของ[6][53][41] นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของทุนอุตสาหกรรมและพาณิย์ร้อยละ 90 ของประเทศ[54]:73 บริษัทครอบครัวพบมากในภาคธุรกิจไทย[55] ชาติพันธุ์จีนควบคุมภาคการผลิตร้อยละ 90 และภาคบริการอย่างน้อยร้อยละ 50 ของประเทศ[56][11]:33[54][56] Henry Yeung นักวิชาการชาวสิงคโปร์ ระบุว่าในปี 2537 ในบรรดาบริษัทมหาชนใหญ่สุดในทวีปเอเชีย 500 บริษัทที่ชาวจีนโพ้นทะเลควบคุม พบว่ามี 39 บริษัทอยู่ในประเทศไทย โดยมีมูลค่าตลาด 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสินทรัพย์รวม 94,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[55] ธนาคารเอกชนใหญ่สุดในประเทศ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีมีชาติพันธุ์จีนเป็นเจ้าของ[51][11][41]:193[10]:22[57][58][41] ธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายไผ่[59]

หลังการปฏิรูปเชิงโครงสร้างหลังวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ช่วยแก้ไขการผูกขาดของอภิชนธุรกิจชาติพันธุ์จีน[60] แต่ถึงกระนั้น ยังมีประมาณว่าไทยเชื้อสายจีนเป็นเจ้าของสินทรัพย์การธนาคารร้อยละ 65 การค้าในประเทศร้อยละ 60 และการลงทุนท้องถิ่นในภาคพาณิชย์ร้อยละ 90 การลงทุนในท้องถิ่นในภาคการผลิตร้อยละ 90 และการลงทุนท้องถิ่นในภาคการธนาคารและบริการการเงินทั้งหมดร้อยละ 50[56][61][62]

คริสต์ศตวรรษที่ 21

ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ไทยเชื้อสายจีนครอบงำการพาณิชย์ของไทยในทุกระดับ[63][7]:127, 179 การมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจของกลุ่มมีบทบาทสำคัญในการรักษาชีวิตทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของประเทศ[40]:47-48 และจัดเป็นอภิชนของไทย[7]:179 นโยบายการพัฒนาของรัฐบาลไทยเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับชาติพันธุ์จีน ชุมชนธุรกิจไทย-จีนเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ครอบงำประเทศ โดยควบคุมภาคธุรกิจสำคัญทั่วประเทศ ภาคธุรกิจไทยสมัยใหม่ต้องอาศัยผู้ประกอบการและนักลงทุนเชื้อสายจีนที่ควบคุมธนาคารและกลุ่มบริษัทใหญ่แทบทั้งหมดของประเทศ[41]:193[54]:72 และการสนับสนุนภาคธุรกิจได้รับการส่งเสริมจากนักการเมืองที่มีเชื้อสายจีน[38][57][7]:179 และเกิดเป็นชนชั้นทางสังคมที่ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ[7]:179-183[38][64][65][66][37]:261

ธุรกิจไทย-จีนเป็นนักลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่รายใหญ่สุดในบรรดาชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก[7] ไทยเชื้อสายจีนจำนวนมากส่งบุตรหลานไปยังโรงเรียนสอนภาษาจีน เดินทางเยือน ลงทุนในประเทศจีน รวมทั้งใช้แซ่จีน เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เป็นนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่สุดในจีน[7]:41, 179[40]:55[67]

วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ นักประวัติศาสตร์ ระบุว่า อภิชนไทยรั้งอำนาจได้โดยการใช้ยุทธศาสตร์สองส่วน ประกอบด้วยการรักษาฐานทางเศรษฐกิจด้วยการสนับสนุนของอภิชนธุรกิจไทย-จีน และการถือข้างมหาอำนาจของโลกในขณะนั้น[68]