รอบประจำเดือน เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติสม่ำเสมอที่เกิดขึ้นใน
ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง (โดยเฉพาะ
มดลูกและ
รังไข่) ซึ่งทำให้เกิด
การตั้งครรภ์ขึ้นได้
[1][2] รอบประจำเดือนมีความจำเป็นต่อการผลิต
เซลล์ไข่ และเตรียมมดลูกสำหรับการตั้งครรภ์
[1] รอบประจำเดือนเกิดขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นและลดลงของ
เอสโตรเจน วงจรนี้ส่งผลให้ความหนาของ
เยื่อบุมดลูกและการเจริญเติบโตของ
ไข่ ไข่จะถูกปล่อยออกจากรังไข่ประมาณวันที่ 14 ในรอบ; เยื่อบุผิวที่หนาขึ้นของมดลูกให้
สารอาหารแก่ตัว
เอ็มบริโอหลังฝังตัว หากไม่เกิดการตั้งครรภ์ เยื่อบุจะถูกปล่อยออกมาเกิดเป็น
ประจำเดือน หรือ "รอบเดือน"
[3]หญิงถึง 80% รายงานว่ามีอาการในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน
[4] อาการที่พบบ่อย ได้แก่
สิว เจ็บเต้านม ท้องอืด รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิดและพื้นอารมณ์แปรปรวน
[5] อาการเหล่านี้รบกวนชีวิตปกติและจัดเป็น
กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนในหญิง 20 ถึง 30% และใน 3 ถึง 8% เป็นอาการที่รุนแรง
[4]รอบแรกมักเริ่มระหว่างอายุ 12 ถึง 15 ปี เรียก
การเริ่มแรกมีระดู (menarche)
[6] แต่อาจพบได้เร็วสุดอายุ 8 ปี ซึ่งยังถือว่าปกติอยู่
[3] อายุเฉลี่ยของรอบแรกในหญิง
ประเทศกำลังพัฒนาพบช้ากว่าในหญิง
ประเทศพัฒนาแล้ว ระยะเวลาตรงแบบระหว่างวันแรกของรอบแรกจนถึงวันแรกของรอบถัดไป คือ 21 ถึง 45 วันในหญิงสาว และ 21 ถึง 35 วันในผู้ใหญ่ (เฉลี่ย 28 วัน
[3][7][8]) ประจำเดือนหยุดเกิดขึ้นหลัง
วัยหมดระดู ซึ่งปกติเกิดระหว่างอายุ 45 และ 55 ปี
[9] ปกติเลือดออกประมาณ 3 ถึง 7 วัน
[3]การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดรอบประจำเดือน
[3] การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยใช้
การคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
[10] รอบหนึ่งแบ่งออกเป็นสามระยะตามเหตุการณ์ในรังไข่ (รอบรังไข่) หรือในมดลูก (รอบมดลูก)
[1] รอบรังไข่ประกอบด้วยระยะถุงน้อย (follicular), การตกไข่ และระยะลูเทียม (luteal) ขณะที่รอบมดลูกแบ่งออกเป็นระยะมีประจำเดือน ระยะเพิ่มจำนวน (proliferative) และระยะหลั่ง (secretory) การขับเลือดประจำเดือนหยุดเมื่อปริมาณเอสโตรเจนค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในระยะถุงน้อย และเยื่อบุมดลูกหนาตัวขึ้น ถุงน้อยในรังไข่เริ่มเติบโตภายใต้อิทธิพลของอันตรกิริยาระหว่างฮอร์โมนหลายชนิด และหลังผ่านไปหลายวัน ถุงน้อยจะเด่น (dominant) ขึ้นมาหนึ่งหรือสองถุง ส่วนถุงน้อยที่เหลือฝ่อลงและตายไป ประมาณกลางรอบ 24–36 ชั่วโมงหลังจากการเพิ่มขึ้นกระทันหันของ
ฮอร์โมนลูทีไนซิง (luteinizing hormone, "ทำให้เหลือง") ถุงน้อยเด่นจะปล่อยเซลล์ไข่ออกมา เรียกเหตุการณ์นี้ว่า
การตกไข่ หลังการตกไข่ เซลล์ไข่อยู่ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมงหากไม่มี
การปฏิสนธิ ส่วนถุงน้อยเด่นที่เหลืออยู่ในรังไข่จะกลายเป็น
คอร์ปัสลูเทียม (corpus luteum, "กายเหลือง") ซึ่งมีหน้าที่หลักในการผลิต
โปรเจสเตอโรนปริมาณมาก ภายใต้อิทธิพลของโปรเจสเตอโรน เยื่อบุมดลูกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมรับการฝังตัวของเอ็มบริโอที่อาจเกิดขึ้นเพื่อทำให้เกิดการตั้งครรภ์ หากการฝังไม่เกิดขึ้นภายในประมาณสองสัปดาห์ คอร์ปัสลูเทียมจะม้วนเข้า ทำให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็ว การลดลงของฮอร์โมนทำให้มดลูกสลัดเยื่อบุทิ้ง เป็นกระบวนการที่เรียก การมีประจำเดือน การมีประจำเดือนยังเกิดขึ้นในไพรเมตที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ด้วย คือ
ลิงไม่มีหางและ
ลิง[11]