เมนูนำทาง
ระบบภูมิคุ้มกัน ImmunoglobulinImmunoglobulin (Ig) คือโปรตีนชนิด globulin ที่ทำหน้าที่ด้านภูมิคุ้มกันด้านสารน้ำ มีทั้งหมด 5 กลุ่ม คือ
1.IgG เป็น immunoglobulin ที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นชนิดเดียวที่สามารถผ่านรกได้ และมีปริมาณมากที่สุดคือ 75-80%ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลืองของคนปกติ มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคติดเชื้อต่าง ๆ มีระดับสูงขึ้นหลังการกระตุ้นด้วย antigen โดยเฉพาะการตอบสนองต่อการติดเชื้อระยะที่ 2 (secondary response) ต่อจาก IgM ที่สร้างขึ้นในระยะแรกของการติดเชื้อ
2.IgA พบ 7-15 % ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลือง ผลิตโดย plasma cell ที่อยู่ใต้ชั้นเยื่อบุผิว ส่วนใหญ่อยู่ในสารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำนมมารดา น้ำตา น้ำลาย สิ่งคัดหลั่งของปอด ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ระบบขับถ่าย มีบทบาทสำคัญที่สุดในการป้องกันโรคติดเชื้อของเยื่อบุต่าง ๆ โดยเฉพาะการติดเชื้อไวรัสของระบบหายใจและระบบทางเดินอาหาร และ IgA ที่อยู่ในนมน้ำเหลือง (colostrum) ของมารดา เป็นภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันทารกแรกคลอดจากการติดเชื้อ
3.IgM มีขนาดใหญ่ที่สุด พบ 5-10% ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลือง เป็น antibody ตัวแรกที่ร่างกายสร้างขึ้นในการตอบสนองต่อ antigen ในระยะแรกที่ติดเชื้อ (primary antibody response) หลังจากนั้น IgG จึงเพิ่มตามมา มีบทบาทสำคัญในการทำลาย antigen โดยเฉพาะเชื้อ ไวรัสและแบคทีเรีย เป็น immunoglobulin ที่พบบ่อยในภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเอง (autoimmune disease)
4.IgD มีปริมาณน้อยมาก ประมาณ 0.03%ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลือง ยังไม่ทราบคุณสมบัติที่แน่ชัด
5.IgE ค้นพบหลังสุด มีปริมาณน้อยที่สุด คือพบประมาณ 0.003% ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลือง สัมพันธ์กับภาวะภูมิแพ้ และเป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญในโรคพยาธิ
เมนูนำทาง
ระบบภูมิคุ้มกัน Immunoglobulinใกล้เคียง
ระบบภาพสามมิติ ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ ระบบภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด ระบบภูมิรัฐศาสตร์ ระบบสุริยะ ระบบประสาทรับความรู้สึก ระบบประสาทรับความรู้สึกทางกาย ระบบรู้กลิ่น ระบบการทรงตัวแหล่งที่มา
WikiPedia: ระบบภูมิคุ้มกัน http://www.scs.carleton.ca/~soma/biosec/readings/s... http://adsabs.harvard.edu/abs/1996SciAm.275e..60B //www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2364095 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11506482 //doi.org/10.1038%2Fscientificamerican1196-60 //doi.org/10.1054%2Fbjoc.2001.1943