รัฐมหาราษฏระ (
ละติน: Maharashtra; /mɑːhəˈrɑːʃtrə/; ตัวย่อ
MH) เป็น
รัฐทางตะวันตกของ
ประเทศอินเดีย มีพื้นที่อยู่บนบางส่วนของ
ที่ราบสูงเดกกัน เป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศ และพื้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศ คิดเป็นพื้นที่ 307,713 กม² (118,809 ไมล์²) มีอาณาเขตทางทิศตะวันตกติดกับ
ทะเลอาหรับ ทิศใต้ติดกับ
รัฐกัวและ
รัฐกรณาฏกะ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับ
รัฐเตลังคานา ทิศตะวันออกติดกับ
รัฐฉัตตีสครห์ ทิศเหนือติดกับ
รัฐคุชราตและ
รัฐมัธยประเทศ และทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับดินแดนสหพันธ์
ดาดราและนครหเวลีและ
ดามันและดีอู[12] นอกจากนี้ รัฐมหาราษฏระจัดเป็นหน่วยการปกครองระดับที่หนึ่งที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรัฐมหาราษฏระก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1960 เกิดจากการรวมกันของพื้นที่บางส่วนของ
รัฐบอมเบย์ (Bombay State),
มณฑลเบราร (Berar Division),
วิทรภา (Vidarbha), บางส่วนของ
รัฐไฮเดอราบาด (Hyderabad State) และบางส่วนที่แยกออกมาจาก
รัฐเสาราษฏระ (Saurashtra State) ตามรัฐบัญญัติการจัดระเบียบรัฐ ค.ศ. 1956 (States Reorganisation Act, 1956) รัฐมหาราษฏระมีประชากรกว่า 112 ล้านคน ในจำนวนนี้ราว 18.4 ล้านคนอาศัยอยู่ใน
มุมไบ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ ทำให้มุมไบเป็นเขตเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในอินเดีย เมืองที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่
นาคปุระ ซึ่งเป็นเมืองที่จัดสมัยประชุมภาคฤดูหนาวของสภานิติบัญญัติแห่งรัฐมหาราษฏระ
[13] ปูเน เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "
ออกซฟอร์ดแห่งโลกตะวันออก" ด้วยสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในเมือง
[14][15] และ
นาศิก เป็นเมืองที่มีฉายาว่า "เมืองหลวงไวน์แห่งอินเดีย" เนื่องจากมีไร่องุ่นและโรงกลั่นเหล้าองุ่นตั้งอยู่ที่เมืองนี้เป็นจำนวนมากแม่น้ำหลักสองสายของรัฐคือ
แม่น้ำโคทาวรีและ
แม่น้ำกฤษณา และมี
แม่น้ำนรรมทากับ
แม่น้ำตาปตีไหลผ่านตรงรอยต่อกับ
รัฐมัธยประเทศและ
รัฐคุชราต รัฐมหาราษฏระถือเป็นรัฐที่เกิดการ
นคราภิวัฒน์ (Urbanisation) สูงเป็นอันดับสามในอินเดีย
[16][17] ก่อนประเทศอินเดียจะถูกยึดครองโดยอังกฤษ บริเวณรัฐมหาราษฏระเคยปกครองโดย
จักรวรรดิสาตวาหนะ จักรวรรดิราษฏรกุตะ จลุกยะตะวันตก รัฐสุลต่านเดกกัน จักรวรรดิโมกุล และ
จักรวรรดิมราฐา ก่อนจะถูกปกครองโดย
บริติชราชในที่สุด โบราณสถาน อนุสาวรีย์ สุสาน ป้อมปราการ และศาสนสถานต่าง ๆ ที่สร้างโดยจักรววรดิและความเชื่อที่แตกต่างกันจึงสามารถพบได้จำนวนมากในบริเวณนี้ในปัจจุบัน ในจำนวนนั้นประกอบด้วย
แหล่งมรดกโลก ถ้ำอชันตาและ
ถ้ำเอลโลรา ป้อมปราการจำนวนมากที่สร้างขึ้นโดยย
จักรพรรดิศิวาจีรัฐมหาราษฏระเป็นรัฐที่มั่งคั่งที่สุดในอินเดียในทุกตัวแปรการประเมิน และยังเป็นรัฐที่เกิดการกลายเป็นอุตสาหกรรม (
Industrialisation) มากที่สุดในอินเดีย
[18][19] จีดีพีกว่า 15% ของประเทศอินเดียมาจากรัฐมหาราษฏระ ทำให้รัฐมหาราษฏระเป็นหนึ่งในรัฐที่มีส่วนสำคัญที่สุดรัฐหนึ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอินเดีย
[20] รัฐมหาราษฏระผลิตอุตสาหกรรม 17% ของผลผลิตทางอุตสาหกรรมทั้งประเทศ และผลิต 16% ของผลิตภัณฑ์ทางบริการทั้งประเทศอินเดีย
[21]