ลมดาวฤกษ์ (
อังกฤษ: Stellar wind) คือการไหลของ
แก๊สทั้งแบบธรรมดาและแบบมี
ประจุออกจากชั้นบรรยากาศรอบนอกของ
ดาวฤกษ์ ซึ่งถูกขับออกมาโดยคุณลักษณะของ
ขั้วแม่เหล็กที่ไหลออกจากดาวฤกษ์อายุน้อยซึ่งยังไม่ค่อยถูกชน อย่างไรก็ดี การไหลออกของลมดาวฤกษ์ไม่ได้เป็นไปในลักษณะสมมาตรของทรงกลม และดาวฤกษ์ต่างประเภทกันก็จะให้ลมดาวฤกษ์ออกมาที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันดาวฤกษ์ที่อยู่ในช่วงท้ายของ
แถบลำดับหลักซึ่งใกล้จะสิ้นอายุขัยมักปล่อยลมดาวฤกษ์ที่มี
มวลมากแต่ค่อนข้างช้า ( M ˙ > 10 − 3 {\displaystyle {\dot {M}}>10^{-3}}
มวลดวงอาทิตย์ต่อปี และ v = 10 กม./วินาที) ดาวเหล่านี้หมายรวมถึง
ดาวยักษ์แดง ดาวยักษ์มหึมา และดาวในกลุ่ม
ดาวสาขาเชิงเส้นกำกับยักษ์ ลมดาวฤกษ์ที่เกิดขึ้นมีลักษณะเหมือนการขับเคลื่อนโดย
แรงดันการแผ่รังสีที่กระทำต่อฝุ่นซึ่งมีอยู่หนาแน่นในชั้นบรรยากาศรอบนอกของดาวดาวฤกษ์ประเภท G เช่น
ดวงอาทิตย์ของโลกเรามีลมดาวฤกษ์ที่ขับเคลื่อนด้วย
โคโรนาแม่เหล็กที่ร้อนมาก มีชื่อเรียกว่า
ลมสุริยะ ลมนี้มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็น
อิเล็กตรอนและ
โปรตอนพลังงานสูง (ประมาณ 1 keV) ซึ่งมีความสามารถพอจะหนีพ้นจาก
แรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ได้เพราะ
อุณหภูมิของโคโรนาที่สูงมากดาวฤกษ์มวลมากในประเภท O และ B จะมีลมดาวฤกษ์ที่มีปริมาณมวลน้อยกว่า แต่มีความเร็วสูงกว่า ลมกลุ่มนี้ขับเคลื่อนด้วยแรงดันการแผ่รังสีที่เกิดจากแถบการดูดกลืนแบบกำธรของอนุภาคมวลหนัก เช่น
คาร์บอน และ
ไนโตรเจน[1] ลมดาวฤกษ์พลังงานสูงเหล่านี้จะพัดพา
ฟองลมดาวฤกษ์ (
อังกฤษ: Stellar wind bubble) ไปด้วยแม้ลมดาวฤกษ์จากดาวในแถบลำดับหลักจะไม่ได้ส่งผลต่อ
วิวัฒนาการของดวงดาว แต่ในช่วงท้ายเมื่อดาวฤกษ์อยู่ใกล้จะหลุดออกจากแถบลำดับหลัก ปริมาณมวลที่ดาวฤกษ์สูญเสียออกไปผ่านลมดาวฤกษ์จะมีส่วนในการตัดสินชะตาของดาวฤกษ์นั้น ดาวฤกษ์ที่มีมวลปานกลางจำนวนมากกลายไปเป็น
ดาวแคระขาวในท้ายที่สุดแทนที่จะระเบิดออกกลายเป็น
ซูเปอร์โนวา เพราะมันสูญเสียมวลออกมากเกินไปจากลมดาวฤกษ์ของมัน