วัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส (
เยอรมัน: Waffen-SS) หรือ
เอ็สเอ็สสรรพาวุธ เป็นกองกำลังทหารติดอาวุธของ
พรรคนาซี ถือเป็นหนึ่งในสองสาขาของ
ชุทซ์ชตัฟเฟิล (เอ็สเอ็ส) ก่อตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของชาวเยอรมัน พร้อมกับอาสาสมัครและทหารเกณฑ์จากในยึดครองและดินแดนนอกยึดครอง
[1] หน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สเปรียบเสมือนเป็นเหล่าทัพที่สี่ของเยอรมนีนอกจากกองทัพบก, กองทัพเรือ และกองทัพอากาศหน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สเดิมมีเพียงสามกรม ต่อมาได้ขยายจำนวนมากถึง 38 กองพลเอ็สเอ็สในช่วง
สงครามโลกครั้งที่สอง และทำหน้าที่ควบคู่กับ
กองทัพบก,
ตำรวจรักษาความสงบ และหน่วยรักษาความปลอดภัยอื่นๆ แต่เดิมทีหน่วยนี้ขึ้นต่อสำนักอำนวยการเอ็สเอ็ส (SS Führungshauptamt) ในบัญชาของ
ไรชส์ฟือเรอร์-เอ็สเอ็ส ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น จึงมีการแบ่งสายบัญชาการเป็นสองสาย สายแรกรับคำสั่งทางยุทธวิธีจาก
กองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์ (OKW)
[2] และสายที่สองขึ้นตรงต่อกองบัญชาเจ้าหน้าที่ไรชส์ฟือเรอร์-เอ็สเอ็ส (Kommandostab Reichsführer-SS) ในบัญชาของฮิมเลอร์โดยตรง
[3]ในช่วงต้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายเชื้อชาติของพรรคนาซี การเข้าเป็นสมาชิกจึงเปิดรับสมัครให้กับเพียงผู้มีเชื้อชาติเยอรมันเท่านั้น (ที่ถูกเรียกว่า เชื้อชาติอารยัน)
[4] ข้อบังคับนี้มีการผ่อนปรณลงบางส่วนในปี ค.ศ. 1940
[5][6] ต่อมามีการอนุมัติให้จัดตั้งหน่วยเฉพาะขึ้นมา ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมดหรือส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัครหรือผู้ถูกเกณฑ์ที่เป็นชาวต่างชาติ หน่วยเอ็สเอ็สเหล่านี้จะประกอบไปด้วยชายส่วนใหญ่ที่มาจากกลุ่มเชื้อชาติของยุโรปที่ถูกเยอรมนียึดครอง แต่ถึงแม้จะมีการผ่อนปรณข้อบังคับลง แต่หน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สก็ยังถืออุดมคติทางเชื้อของนาซี และห้ามผู้มีเชื้อชาติโปแลนด์(ที่ถูกมองว่าเป็นพวกต่ำกว่ามนุษย์)เข้ามาอยู่ในองค์กร
[7][8][9]สมาชิกหน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สมีส่วนเกี่ยวข้องกับความโหดร้ายทารุณมากมายในช่วงสงคราม
[10] การพิจารณาคดีเนือร์นแบร์คในช่วงหลังสงคราม หน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สถูกตัดสินว่าเป็นองค์กรอาชญากรรม เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคนาซีและเกี่ยวข้องโดยตรงกับอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจำนวนมากมาย อดีตสมาชิกหน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สถูกระงับสิทธิหลายประการที่ทหารผ่านศึกควรได้รับ ข้อยกเว้นที่ทำให้ไว้กับทหารเกณฑ์จากหน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส ที่ได้รับการยกเว้นนั้นเพราะพวกเขาไม่ได้อาสาสมัครเลย
[11][12] มีจำนวนประมาณหนึ่งในสามของสมาชิกทั้งหมดล้วนถูกเกณฑ์
[13]