เมนูนำทาง
สนธิสัญญาเบาว์ริง ผลที่ตามมาฝ่ายอังกฤษประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง โดยรัฐบาลสยามยอมให้อังกฤษเข้ามาตั้งกงสุล มีอำนาจพิจารณาคดีที่คนอังกฤษมีคดีความกัน และร่วมพิจารณาคดีที่คนไทยกับอังกฤษมีคดีความกัน ข้าว เกลือและปลาไม่เป็นสินค้าต้องห้ามอีกต่อไป[12] นอกจากนี้ ยังเป็นการรับเอาวิทยาการตะวันตกสมัยใหม่เข้าสู่ประเทศ ซึ่งทำให้ชาวต่างประเทศยอมรับมากขึ้น[21]
เมื่อสยามได้ทำสนธิสัญญากับอังกฤษแล้ว ก็ต้องการจะทำหนังสือสัญญาแบบเดียวกันกับประเทศอื่นต่อไป เพื่อให้มีการแข่งขันทางการค้า และเป็นโอกาสให้ของในสยามมีราคาสูงขึ้น และสินค้าต่างประเทศมีราคาต่ำ[19] ในการณ์นี้ รัฐบาลสยามจึงแต่งตั้งให้จอห์น เบาว์ริงเป็นพระยาสยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ คอยทำหนังสือสัญญาต่าง ๆ แทน โดยประเทศที่ทำหนังสือสัญญากับไทยในเวลาต่อมา มีดังนี้
ประเทศที่ทำสัญญาโดยส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร ได้แก่[19]
ประเทศ | วันที่ (นับแบบเก่า) |
---|---|
สหรัฐอเมริกา | 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2399 |
ฝรั่งเศส | 15 สิงหาคม พ.ศ. 2399 |
เดนมาร์ก | 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2401 |
โปรตุเกส | 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2401 |
แฮนซีแอติกรีปับลิก | 25 ตุลาคม พ.ศ. 2403 |
เนเธอร์แลนด์ | 29 ธันวาคม พ.ศ. 2403 |
ปรัสเซีย | 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404 |
และที่ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ ได้แก่[19]
ประเทศ | วันที่ (นับแบบเก่า) |
---|---|
นอร์เวย์ | 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2401 |
เบลเยียม | 29 สิงหาคม พ.ศ. 2401 |
อิตาลี | 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2401 |
โปรตุเกส | 3 ตุลาคม พ.ศ. 2401 |
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี | 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2402 |
ในช่วงต้นรัชกาลที่ 4 ได้มีการส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนตามประเพณี แต่ตอนคณะทูตกำลังเดินทางกลับจากปักกิ่งได้ถูกโจรผู้ร้ายปล้นเอาทรัพย์สินไปกลางทาง "ตั้งแต่นั้นมา ที่กรุงก็มิได้แต่งทูตออกไปจิ้มก้องจนทุกวันนี้"[22] จนถึง พ.ศ. 2403 ก็ปรากฏหลักฐานว่าสยามมิได้แต่งสำเภาไปค้าขายกับจีนอีก
หลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริว่าการที่สยามส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจีนนั้นอาจทำให้ฝรั่งสิ้นความนับถือในเอกราชของสยาม จึงทรงได้ยกเลิกประเพณีการส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจีนอย่างเด็ดขาด นับเป็นการตัดไมตรีที่มีมากับจีนตั้งแต่สมัยโบราณที่พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลก่อน ๆ ทรงพยายามรักษามาโดยตลอด[23]
เพียงปีเดียวหลังจากสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศเข้ามาค้าขายยังกรุงเทพมหานครเป็น 103 ลำ และแต่งเรือออกไปค้าขายกับต่างประเทศถึง 37 ลำ[24] ทำให้มีเงินเหรียญแพร่สะพัดในสยามเป็นจำนวนมาก แต่ราษฎรสยามที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครไม่มีใครรับ เพราะไม่เคยใช้มาก่อน ต้องให้ช่างในคลังมหาสมบัติทำเงินตรา แม้จะทำไปได้ถึงกว่า 250,000 เหรียญแล้วก็ยังใช้ไม่ทันกาล[24] พ่อค้าต่างชาติก็ขอให้ทางการประกาศให้ใช้เงินเหรียญ รัฐบาลจึงให้เงินตราสิบชั่งเป็นเงินเหรียญ 480 เหรียญ[25] แต่ครั้นประกาศให้ราษฎรรับเงินเหรียญไปใช้แทนเงินพดด้วง ราษฎรก็ไม่รับไป ต้องออกพระราชบัญญัติให้รับเงินเหรียญนอกไว้
แต่เมื่อเงินเหรียญใช้กันแพร่หลาย ราษฎรก็นำเงินบาทไปซุกซ่อนไว้ และจ่ายภาษีด้วยเงินเหรียญ[25] ทำให้เงินบาทขาดแคลน ในปี พ.ศ. 2399 และ พ.ศ. 2400 เกิดความติดขัดด้านการค้าขาย ครั้นพอสยามจะส่งราชทูตไปเจริญพระราชไมตรีกับต่างประเทศก็ให้ทูตซื้อเครื่องจักรทำเงินเหรียญกลับมาด้วย พอมาติดตั้งที่กรุงเทพมหานครได้แล้ว เรียกเงินตราแบบเงินเหรียญว่าเงินแป พอผลิตออกมาได้แล้วก็พบว่าราษฎรนิยมใช้กัน ปัญหาด้านการค้าจึงหมดไป[26]
"เซอร์ยอน เบาริ่งกล่าวถึงความสำเร็จในสนธิสัญญาฯ ว่า จะก่อการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่แก่การคลังของไทย เพราะเอกสิทธิ์และสิทธิผูกขาดการหาผลประโยชน์ ซึ่งเดิมตกอยู่ในมือคนเพียงไม่กี่คน ถูกเพิกถอนเสียมากมายหลายอย่าง เหตุการณ์ที่ปรากฏต่อมาภายหลังเป็นพยานอย่างดี ว่าความคิดเห็นของเขามีส่วนถูกต้องมากทีเดียว" |
—ชัย เรืองศิลป์[27] |
การแลกผูกขาดการค้าของรัฐบาลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ ราษฎรสามารถซื้อขายสินค้าได้โดยอิสระ รัฐบาลไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการขายสินค้ามีค่า เช่น ไม้ฝาง ไม้กฤษณา หรืองาช้างอีก เพราะรัฐบาลจะขาดทุน[27]
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ผู้แต่งพระราชพงศาวดาร กล่าวถึงความมั่งคั่งว่า
"ลูกค้านานาประเทศเข้ามาค้าขาซื้อเข้าออกไปปี ๑ ก็ถึง ๓๐๐ ลำ บางปีก็ถึง ๕๐๐ ลำ ราษฎรก็ได้ขายเข้าไปแก่ลูกค้านานาประเทศ เป็นจำนวนเข้าออกไปปี ๑ ก็ถึง ๘๐๐๐๐ เกวียน [...] ราษฎรก็ได้มั่งมีเงินทองขึ้นทุกแห่งทุกตำบล จนชั้นแต่ลาวเป็นคนเกียจคร้านไม่ใคร่จะทำไร่ไถนา [...] ทุกวันนี้มีเงินซื้อกิน ไม่เหมือนแต่ก่อน"[28]
ข้าวได้กลายมาเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดของไทย เรือต่างประเทศก็จะเข้ามาบรรทุกข้าวและสินค้าอื่นไปขายต่อยังจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์เป็นจำนวนมาก ทั้งยังทำให้เงินตราต่างประเทศเข้าสู่ราชสำนักเป็นจำนวนมาก ราษฎรทั่วบ้านทั่วเมืองก็มีเงินตราหมุนเวียนอยู่ในมืออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน[29] และเมื่อเลิกห้ามไม่ให้ส่งข้าวขายยังต่างประเทศ ก็ทำให้มีการทำนาแพร่หลายกว่าแต่ก่อน มีที่นาใหม่เกิดขึ้นทุกปี พ่อค้าต่างชาติก็ขนข้าวออกไปปีละหลายหมื่นเกวียน "ราษฎรก็กดราคาเข้าให้แพงอยู่เป็นนิตย์ ด้วยคิดจะขายเอาเงินให้มาก"[30] ทั้งนี้ ราคาข้าวในสมัยรัชกาลที่ 4 อยู่ที่เกวียนละ 16 ถึง 20 บาท แพงกว่าสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งอยู่ที่เกวียนละ 3 ถึง 5 บาท[31]
การที่ราษฎรมีเงินมากกว่าแต่ก่อนก็ทำให้ชาวนามีโอกาสไถ่ลูกเมียที่ขายให้แก่ผู้อื่น ทั้งราคาทาสก็แพงขึ้นกว่าสมัยก่อนด้วย โดยใน พ.ศ. 2412 หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า ฝรั่งผู้หนึ่งซื้อทาสเป็นเงิน 350 บาท ผัวเป็นคนขาย[31]
ฝรั่งที่เข้ามาจ้างลูกจ้างคนไทยต่างก็ให้ค่าจ้างเป็นรายเดือนและโบนัส คิดเป็นมูลค่าสูงกว่าข้าราชการไทยเสียมาก[32] เพราะได้รับพระราชทานเงินเบี้ยหวัดประจำปีอย่างเดียว รัฐบาลจึงได้เพิ่มเงินเบี้ยหวัดและค่าแรงแก่ข้าราชการและคนงานมากขึ้น จนเพิ่มเป็นหมื่นชั่งเศษในปลายรัชกาลที่ 4[33] ส่วนพระราชบัญญัติเกณฑ์จ้างที่ออกในรัชกาลที่ 5 ได้กำหนดอัตราค่าจ้างไว้ดังนี้: ถ้ากินอาหารของหลวง วันละ 16 อัฐ ถ้านำอาหารมาเอง วันละ 32 อัฐ (ยกเว้นมณฑลนครศรีธรรมราชให้ 24 อัฐ) ซึ่งนับว่าเป็นการเพิ่มค้าแรงจากสมัยก่อนทั้งหมด ตามแนวโน้มราคาของกินของใช้[33]
ด้านพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับแจ้งจากทางกงสุลว่าฝรั่งในกรุงไม่มีหนทางขี่รถขี่ม้าไปเที่ยว ทรงพระราชดำริว่า การตัดถนนจะเป็นการทำให้บ้านเมืองงดงามขึ้น จึงทรงให้สร้างถนน ได้แก่ ถนนหัวลำโพง ถนนเจริญกรุง และถนนสีลม แต่ละเส้นกว้าง 5 ศอก กับคลองถนนตรงและคลองสีลม[34] นอกจากนี้ยังมีการสร้างตึกแถวและสะพานเหล็กอีกด้วย
ในสมัยปลายรัชกาลที่ 4 ฝรั่งต่างก็เข้ามาตั้งโรงงานในสยามเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่โรงสีข้าว โรงงานน้ำตาลทราย อู่ต่อเรือ โรงเลื่อยไม้ เป็นต้น การที่สยามรับเอาวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาใช้หลายอย่างนี้ทำให้ฝรั่งเรียกขานว่าเป็น "เมืองไทยยุคใหม่"[35]
ผลของสนธิสัญญายังเป็นการให้สิทธิเสรีภาพในการถือครองที่ดินแก่ทั้งราษฎรไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งแต่ก่อนราษฎรไม่ค่อยกล้าให้ชาวต่างประเทศถือครองที่ดินเพราะกลัวในหลวงจะกริ้ว[36] รัฐบาลไทยอยากให้ฝรั่งเข้ามาตั้งโรงงานสมัยใหม่ จำต้องยอมผ่อนปรนเรื่องการถือครองที่ดินให้แก่ฝรั่ง แต่ก็ไม่ใช่จะถือครองได้ทุกที่ รัฐบาลแบ่งที่ดินออกเป็นสามเขต คือ ในพระนครและห่างกำแพงพระนครออกไปสองร้อยเส้นทุกทิศ ยอมให้เช่าแต่ไม่ยอมให้ซื้อ ถ้าจะซื้อต้องเช่าครบ 10 ปีก่อน หรือจะต้องได้รับอนุญาตจากเสนาบดี เขตที่ล่วงออกไป เจ้าของที่และบ้านมีสิทธิให้เช่าหรือขายกรรมสิทธิ์ได้โดยไม่มีข้อแม้ แต่ล่วงจากเขตนี้ไปอีก ห้ามมิให้ฝรั่งเช่าหรือซื้อโดยเด็ดขาด[37] เมื่อราษฎรได้รับสิทธิในการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน ราษฎรก็มีทางทำมาหากินเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง คือ การจำนองที่ดินเพื่อกู้เงิน หรือขายฝากขายขาดที่ดินของตนได้[38]
นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าฝรั่งต้องการดีบุกมาก เนื่องจากมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งผู้ว่าราชการเมืองกระ เมืองระนองและเมืองภูเก็ต ซึ่งเคยทำงานขุดแร่ดีบุกมาก่อน ก็ระดมไพร่มาขุดแร่ดีบุกอย่างเต็มที่ จึงผลิตดีบุกได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน รัฐบาลก็พลอยได้ผลประโยชน์ไปด้วย[39]
ใน พ.ศ. 2410 รัฐบาลมีรายได้ปีละ 3,200,000 บาท ซึ่งยังถือว่าน้อยกว่ารายได้ที่ควรจะเป็นอยู่มาก ทำให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจำต้องปฏิรูปการปกครองแผ่นดินและการคลัง เพื่อมิให้เงินแผ่นดินรั่วไหลไปสู่มือข้าราชการ[40]
เมนูนำทาง
สนธิสัญญาเบาว์ริง ผลที่ตามมาใกล้เคียง
สนธิสัญญาแวร์ซาย สนธิสัญญาเบาว์ริง สนธิสัญญาเบอร์นี สนธิสัญญาญี่ปุ่น–สยาม พ.ศ. 2440 สนธิสัญญาสันติภาพ สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 122 สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1783) สนธิสัญญาทรียานง สนธิสัญญา สนธิสัญญาอึลซาแหล่งที่มา
WikiPedia: สนธิสัญญาเบาว์ริง http://www.1911encyclopedia.org/Siam http://www.aprnet.org/index.php?a=show&c=Volume%20... http://www.a2o.com.sg/a2o/public/html/online_exhib... https://commons.wikimedia.org/wiki/Category:Bowrin...