สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย หรือ
เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระ (มารี อเล็กซานดรา วิกตอเรีย,
27 ตุลาคม ค.ศ. 1875 -
18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938)
[note 1] เป็น
สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียพระองค์สุดท้าย โดยเป็นพระมเหสีใน
พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนียทรงประสูติในฐานะพระราชวงศ์อังกฤษ พระองค์ทรงได้รับพระอิสริยยศ เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระเมื่อครั้งประสูติ พระบิดาและพระมารดาของพระองค์คือ
เจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินเบอระและ
แกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย ในวัยเยาว์ เจ้าหญิงมารีทรงใช้พระชนมชีพในเคนต์,
มอลตาและ
โคบูร์ก หลังจากการปฏิเสธข้อเสนอที่จะอภิเษกสมรสกับพระญาติของพระองค์เองคือ
พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรในอนาคต พระองค์ทรงได้รับเลือกให้เป็นพระชายาในมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์แห่งโรมาเนีย องค์รัชทายาทของ
พระเจ้าคาโรลที่ 1 แห่งโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1892 เจ้าหญิงมารีทรงดำรงเป็นมกุฎราชกุมารีอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1893 ถึง ค.ศ. 1914 ซึ่งทรงดำรงในพระอิสริยยศนี้ยาวนานที่สุดในบรรดาผู้ครองพระอิสริยยศนี้ และทรงกลายเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ประชาชนชาวโรมาเนียในทันที เจ้าหญิงมารีทรงควบคุมพระสวามีผู้ทรงอ่อนแอและเอาแต่ใจก่อนที่จะทรงขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1914 เป็นแรงกระตุ้นให้นักหนังสือพิมพ์ชาวแคนาดาได้ให้ความเห็นว่า "มีพระมเหสีเพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นที่จะทรงมีอิทธิพลยิ่งใหญ่กว่าสมเด็จพระราชินีมารีในช่วงรัชสมัยพระสวามีของพระองค์"
[1]หลังจากการเกิดขึ้นของ
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมเด็จพระราชินีมารีทรงผลักดันให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ดำเนินการเป็นพันธมิตรกับ
ไตรภาคีและประกาศสงครามกับเยอรมนี ซึ่งที่สุดก็ทรงดำเนินการในปี ค.ศ. 1916 ในช่วงแรกของสงคราม บูคาเรสต์ได้ถูกยึดครองโดยฝ่ายมหาอำนาจกลางและสมเด็จพระราชินีมารี พระเจ้าเฟอร์ดินานด์พร้อมพระโอรสธิดาทั้ง 5 พระองค์ทรงลี้ภัยไปยังมอลดาเวีย ซึ่งที่นั่นสมเด็จพระราชินีมารีและพระธิดาทั้งสามพระองค์ทรงประกอบพระกรณียกิจในฐานะพยาบาลในโรงพยาบาลทหาร ทรงดูแลทหารที่บาดเจ็บหรือเป็นอหิวาตกโรค ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1918 แคว้นทรานซิลเวเนีย ตามมาด้วยเบสซาราเบียและบูโกวินา ได้รวมตัวกันจัดตั้ง
ราชอาณาจักรโรมาเนียเก่า พระนางมารีในขณะนี้ทรงดำรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่ง
เกรตเทอร์โรมาเนีย พระองค์ทรงเข้าร่วม
การประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 ซึ่งพระองค์ทรงทำให้นานาชาติยอมรับในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1922 สมเด็จพระราชินีมารีและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในมหาวิหารที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษที่เมืองโบราณซึ่งก็คือ
อัลบาอูเลีย เป็นพระราชพิธีที่ซับซ้อนซึ่งสะท้อนสถานะของทั้งสองพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ของรัฐทั้งมวลขณะเป็นสมเด็จพระราชินี พระองค์ทรงได้รับความนิยมอย่างมาก จากทั้งในโรมาเนียและต่างประเทศ ในปี ค.ศ. 1926 สมเด็จพระราชินีมารีและพระโอรสธิดาอีก 2 พระองค์ได้เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาในทางการทูต ทั้งสามพระองค์ได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างกระตือรือร้นและทรงเสด็จเยือนหลายเมืองก่อนจะกลับโรมาเนีย เมื่อเสด็จกลับ สมเด็จพระราชินีมารีทรงพบว่าพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตในไม่กี่เดือนต่อมา ในช่วงนี้สมเด็จพระพันปีหลวงมารีทรงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งในสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่จะต้องปกครองประเทศแทนพระนัดดาที่ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ ซึ่งก็คือ
พระเจ้าไมเคิลแห่งโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1930 พระโอรสองค์โตของพระนางมารีคือ
เจ้าชายคาโรลแห่งโรมาเนีย ซึ่งทรงถูกเว้นสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ ได้ถอดถอนพระโอรสและช่วงชิงราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ในฐานะ พระเจ้าคาโรลที่ 2 พระองค์ทรงถอดถอนพระนางมารีออกจากบทบาททางการเมืองและทรงพยายามทำลายความนิยมในตัวพระมารดา เป็นผลให้พระนางมารีต้องเสด็จออกจากบูคาเรสต์และทรงใช้พระชนมชีพที่เหลือในชนบท หรือไม่ก็พระตำหนักของพระองค์ที่
ทะเลดำ ในปี ค.ศ. 1937 พระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรค
ตับแข็งและสิ้นพระชนม์ในปีถัดมาจาก
การเปลี่ยนแปลงโรมาเนียไปสู่
สาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ถูกประณามอย่างรุนแรงโดยทางการพรรคคอมมิวนิสต์ มีหลายบันทึกชีวประวัติเกี่ยวกับพระราชวงศ์ที่ได้บรรยายว่า พระนางมารีทรงเป็นคนติดสุราและมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ โดยมาจากเรื่องอื้อฉาวจำนวนมากและพฤติกรรมที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวทั้งก่อนและในระหว่างสงคราม ในช่วงปีที่นำไปสู่
การปฏิวัติโรมาเนียในปี ค.ศ. 1989 ความนิยมในพระนางมารีได้รับการฟื้นฟูและพระองค์ทรงได้รับการเสนอภาพในฐานะผู้รักชาติจากประชาชน แรกเริ่มสิ่งที่จดจำได้เกี่ยวกับพระนางมารีคือการอุทิศพระองค์ในฐานะพยาบาล แต่ก็ทรงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในการที่ทรงพระนิพนธ์งานเขียน รวมถึงพระนิพนธ์อัตชีวประวัติที่น่าสะเทือนใจของพระองค์เอง