พระราชประวัติ ของ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี

ขณะทรงพระเยาว์

สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า "บุญรอด" เสด็จพระราชสมภพในเวลาเช้าของวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2310[2] ณ ตำบลอัมพวา เมืองราชบุรี (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (พระโสทรเชษฐภคินีพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) บิดาคือเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน เศรษฐีเชื้อสายจีนย่านถนนตาล ในอาณาจักรอยุธยา[3] เมื่อแรกเริ่มเจ้าคุณชีโพ (พระขนิษฐาในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี) ได้ให้การอุปถัมภ์บำรุง คุณบุญรอดจึงนับถือเจ้าคุณชีโพเป็นพระมารดาเลี้ยงเสมอมา[3]

พระองค์มีพระภราดาและพระภคินี รวม 6 พระองค์ ได้แก่

  1. สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ (ต้นราชสกุลเทพหัสดิน ณ อยุธยา)
  2. สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอนัคฆนารี
  3. สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าขุนเณร (สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา 7 ปี)
  4. สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
  5. สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี (ต้นราชสกุลมนตรีกุล ณ อยุธยา)
  6. สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ (ต้นราชสกุลอิศรางกูร ณ อยุธยา)

เมื่อคุณทองด้วงได้เข้าถวายตัวรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตามคำชักชวนของพระมหามนตรี (บุญมา) ผู้เป็นน้องชาย โดยได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น พระราชริน (พระราชวรินทร์) เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา และย้ายมาอาศัยอยู่ที่บริเวณวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2311 คุณสาพร้อมสามีและบุตรได้ตามเข้ามาตั้งนิวาสสถานและโรงแพที่ตำบลกุฎีจีน (ปัจจุบันคือพระวิหารและหอไตรวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร) ส่วนแพอยู่ในคลองบางกอกใหญ่ตรงวัดโมฬีโลกข้างใต้[3]

รับราชการฝ่ายใน

เมื่อเกิดการผลัดแผ่นดินขึ้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ คุณบุญรอดก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้ามีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอด ประทับอยู่ ณ พระตำหนักแดงในพระบรมมหาราชวัง ทรงสนิทสนมกับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าแจ่ม และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าประไพวดี พระโสทรขนิษฐาในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฉิม[4]

ครั้นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ทรงพระประชวร เหล่าพระประยูรญาติทั้งหลายจึงได้เข้าเยี่ยมพระอาการ การนี้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) มีจิตปฏิพัทธ์ หลังจากนั้นเป็นต้นมาได้เสด็จมาหาสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอดบ่อยครั้ง กระทั่งสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอดทรงพระครรภ์ได้ 4 เดือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกริ้วนัก สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรจึงทรงขอความช่วยเหลือจากเจ้าจอมแว่น ในรัชกาลที่ 1 ซึ่งใช้ความเป็นพระสนมเอกคลายพระกริ้วของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลง[5] แม้จะไม่ทรงลงพระอาญากระนั้นก็ทรงห้ามไม่ให้เข้าเฝ้าและไม่ให้ค้าขายด้วยสำเภาเป็นการตัดรายได้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เพราะขัดเคืองพระทัยและทรงห่วงว่าสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าตัน พระโสทรเชษฐาของสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอดจะน้อยพระทัย อีกทั้งเกรงว่าจะทำให้วังหน้าและวังหลังจะดูถูกฝ่ายวังหลวงได้ จึงมีรับสั่งให้แยกจากกันโดยให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอดเสด็จไปประทับที่วังของสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าตัน[4]

เมื่อเวลาผ่านไปได้ 3 เดือน สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ให้ทรงพาพระองค์เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอรับพระราชทานพระอภัยโทษ กระทั่งทรงให้เข้าเฝ้าและค้าขายสำเภาได้ตามเดิม จากนั้นจึงเสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าตันเพื่อขอรับสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอดกลับ แต่สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าตันไม่ไว้พระทัยที่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรมีเหล่าพระสนม นางใน และบาทบริจาริกามากมายอยู่แล้ว จึงทรงให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงปฏิญาณว่า "จะมิให้บุตรและภริยาทั้งปวงเป็นใหญ่กว่าฤๅเสมอเท่าเจ้าฟ้าบุญรอด" จึงทรงยอมมอบสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอดให้[4] ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ระบุว่า "เมื่อในรัชกาลที่ ๑ นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอด พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ เป็นพระอรรคชายา"[6]

แต่กระนั้นเมื่อพระราชสวามีเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอดไม่ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศให้สูงขึ้นแต่อย่างใดในรัชกาล แต่คนทั้งปวงก็เข้าใจว่าเป็นพระมเหสี ดังปรากฏความว่า "...[ในแผ่นดินสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย] ท่านได้เจ้าฟ้าหญิง ซึ่งเปนพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าพี่นางในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เปนพระชายา ...ครั้นเมื่อท่านเปนเจ้าแผ่นดินขึ้น ก็มิได้แต่งตั้งยศศักดิ์อันใดอีก แต่คนทั้งปวงเข้าใจว่าท่านเป็นพระมเหสี เรียกว่า สมเด็จพระพันพรรษาฯ นี้คำเดียวกับพันปี เปนคำให้พร..."[1]

แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระขนิษฐาต่างพระมารดา เป็นเหตุทำให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอดน้อยพระทัย ไม่เข้าเฝ้าและไม่ถวายเครื่องเสวยที่โปรดปรานแด่พระราชสวามีอีกเลย[7] แม้ว่าพระราชสวามีจะเสด็จไปหาที่พระตำหนักบ่อยครั้ง แต่ก็แข็งพระทัยไม่ยินยอมให้พบจนกระทั่งวันที่พระราชสวามีเสด็จสวรรคต[4]

ปลายพระชนม์ชีพ

สมเด็จพระบรมราชินีแห่ง
ราชวงศ์จักรี
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา

หลังการเสด็จสวรรคตของพระราชสวามี พระองค์ทรงนำพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ไปมอบให้แด่พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พร้อมกับตรัสว่า "พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว น้องยังเล็กนัก ปกครองบ้านเมืองไม่ได้ เจ้าจงรับราชการปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ให้เป็นสุขเถิด"[4][8] เนื่องจากในขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ พระราชโอรสชั้นเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ในรัชกาลก่อนยังทรงพระเยาว์นัก ไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้ ราชสมบัติจึงควรกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ด้วยวัยวุฒิ แล้วพระองค์จึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสด็จออกไปประทับ ณ พระราชวังเดิม กับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี พระราชโอรสพระองค์เล็ก และดำรงพระองค์ในปลายพระชนม์ชีพอย่างสงบด้วยการเข้าหาพระพุทธศาสนา

พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2379 ด้วยพระโรคชรา สิริพระชนมายุได้ 69 พรรษา ดังปรากฏในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 3 ความว่า "วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๘๐ เวลาเช้า ๔ โมง สมเด็จพระพันวัสสาประชวรพระโรคชราสวรรคตในวันนั้น"[9] ส่วนในหนังสือ จดหมายเหตุโหร ฉบับพระยาประมูลธนรักษ์ บันทึกไว้ว่า "ปีวอก จ.ศ. ๑๑๙๘ วันอังคาร ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ พันวษานิพพาน เพลาเช้า ๒ โมงเศษ พระชนมายุได้ ๖๙ พรรษา"[10]

พระบรมศพประดิษฐานที่พระราชวังเดิม จนกระทั่งพระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวงสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2380 จึงได้เชิญพระบรมศพข้ามฟากมาขึ้นที่ท่าวัดพระเชตุพนและเชิญพระบรมศพขึ้นพระยานุมาศเพื่อนำพระบรมศพไปประดิษฐานบนพระมหาพิชัยราชรถ แห่ไปยังพระเมรุมาศแล้วเชิญขึ้นพระเบญจา ครั้นถึงวันที่ 16 เมษายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการทั้งใหญ่น้อย ถวายพระเพลิงในวันต่อมา ได้แจงพระรูปลอยพระอังคารเก็บพระบรมอัฐิไว้ในโกศทองคำ ทำการสมโภชอีกวันหนึ่งรวมเป็นสี่วันสี่คืน ครั้นรุ่งขึ้นจึงแห่พระบรมอัฐิลงเรือเอกชัยที่ท่าพระมาสู่พระราชวังเดิม[11]

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นสืบราชสันตติวงศ์แล้ว ในวันพุธที่ 10 มีนาคม จ.ศ. 1213 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2395) จึงทรงตั้งพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชชนนีเป็น กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์[12] ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ตามที่เป็นสมเด็จพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ใกล้เคียง

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

แหล่งที่มา

WikiPedia: สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี http://www.ryt9.com/s/cabt/194593 http://www.watbowon.com/travel/phatamnukpet4.htm http://vajirayana.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%... http://vajirayana.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%... http://vajirayana.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%... http://vajirayana.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%... http://vajirayana.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%... http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=12... https://ia800501.us.archive.org/25/items/ThaiKings... https://www.thairath.co.th/column/pol/kumpee/22260...