สุสานบ้านพรุ หรือ
สุสานจีนบ้านพรุ หรือ
เปลวจีนบ้านพรุ ในชื่อท้องถิ่น เป็นสุสานจีนที่ใหญ่ที่สุดใน
ภาคใต้ของประเทศไทย[2] มีขนาดประมาณ 333 ไร่ ตั้งอยู่ใจกลาง
เทศบาลเมืองบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งห่างจากตัวเมืองชั้นใน
เทศบาลนครหาดใหญ่ไปทางทิศใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร สุสานแห่งนี้ประกอบด้วย 2 กรรมสิทธิ์แบ่งเป็นสุสานของมูลนิธิจงฮั่วสงเคราะห์คนชราอนาถา จำนวน 211 ไร่ และสุสานของมูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง (มูลนิธิมิตรภาพสามัคคี) จำนวน 122 ไร่ ซึ่งมีการใช้แนวรั้วและแนวถนนด้วยกัน แต่มีการจัดการสุสานแยกออกจากกันสุสานแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกจากบริจาคที่ดินจำนวน 180 ไร่ โดยขุนนิพัทธ์จีนนคร เมื่อปี พ.ศ. 2482
[3] เพื่อเป็นสถานที่ฌาปนกิจชาวจีนที่เป็นแรงงานสร้างทาง
รถไฟสายใต้ ซึ่งได้เข้ามาตั้งรกรากในอำเภอหาดใหญ่ โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2459 เป็นต้นมา มีการสร้างตัดถนนและชุมชนติดต่อกับ
สถานีชุมทางหาดใหญ่ ซึ่งขยายตัวไปทางทิศตะวันออก ทำให้ประชากรชาวไทยเชื้อสายจีนค่อย ๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น
[4] สุสานแห่งนี้จึงเป็นสถานที่สำคัญที่รองรับการฌาปนกิจชาวจีนทั้งหมดในยุคนั้น โดยขุนนิพัทธ์ได้เลือกที่ตั้งในการทำสุสานที่ห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่ไปทางใต้ คือบริเวณเทศบาลบ้านพรุในปัจจุบัน ซึ่งในขณะนั้นก็มีชุมชนของคนในพื้นที่เดิมอาศัยอยู่แล้ว กรรมสิทธิ์ที่ดินที่บริจาคโดยขุนนิพัทธ์ปัจจุบันดูแลโดยมูลนิธิจงฮั่วสงเคราะห์คนชราอนาถา ในขณะที่มูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง ได้เข้ามาเปิดสุสานเมื่อปี พ.ศ. 2511 ต่อเนื่องกับสุสานเดิมทางทิศใต้ บริเวณหลุมศพเก่าในช่วงแรก ๆ ของการเปิดสุสานของมูลนิธิจงฮั่วสงเคราะห์คนชราอนาถา ถือเป็นโซนหนึ่งที่มีรูปแบบของการตกแต่งป้ายหลุมหลากหลายมากที่สุดในภาคใต้ แตกต่างจากในปัจจุบันที่พบว่ามีการทำป้ายหลุมฮวงซุ้ยที่คล้าย ๆ กัน โดยภายในโซนหลุมเก่านี้ประกอบด้วยรูปแบบจีนมีสถูปพุทธ รูปแบบคริสตัง และรูปแบบหลุมหินเรียงก่อ ปัจจุบันหลุมศพเก่าจำนวนหลายหลุมได้ถูกทิ้งร้างและไม่ได้รับการเข้าไปดูแลรักษาในเวลาต่อมาเมื่อหาดใหญ่ได้ยกระดับเป็น
เทศบาลนครหาดใหญ่และบ้านพรุได้ยกระดับเป็นเทศบาลเมืองบ้านพรุ ทำให้มีชุมชน โรงงาน และโกดังสินค้า เข้ามาตั้งใกล้กับสุสานมากขึ้นตลอดแนว
ถนนเพชรเกษม ซึ่งเชื่อมต่อไปยังด่านพรมแดนสะเดา
ประเทศมาเลเซียได้ ทำให้สุสานกลายเป็นที่เปิดโล่งขนาดของเทศบาลเมืองบ้านพรุ ปัจจุบันทางมูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ๊งจึงได้เปิดให้คนภายนอก โดยเฉพาะประชาชนในเทศบาลเมืองบ้านพรุ เข้ามาใช้งานในเชิงกิจกรรมนันทนาการ โดยมีการเปิดไฟในช่วงเย็นจนถึง 20.00 น.
[1]