การใช้ประโยชน์ ของ อาโวคาโด

นมปั่นกับอะโวคาโดแบบอินโดนีเซีย ใส่ช็อกโกแลต
อาโวคาโด (ดิบ)
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์)
พลังงาน670 kJ (160 kcal)
8.53 g
น้ำตาล0.66 g
ใยอาหาร6.7 g
14.66 g
อิ่มตัว2.13 g
ไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่เดี่ยว9.80 g
ไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่1.82 g
2 g
วิตามิน
ไทอามีน (บี1)
(6%)
0.067 มก.
ไรโบเฟลวิน (บี2)
(11%)
0.130 มก.
ไนอาซิน (บี3)
(12%)
1.738 มก.
(28%)
1.389 มก.
วิตามินบี6
(20%)
0.257 มก.
โฟเลต (บี9)
(20%)
81 μg
วิตามินซี
(12%)
10 มก.
วิตามินอี
(14%)
2.07 มก.
วิตามินเค
(20%)
21 μg
แร่ธาตุ
แคลเซียม
(1%)
12 มก.
เหล็ก
(4%)
0.55 มก.
แมกนีเซียม
(8%)
29 มก.
ฟอสฟอรัส
(7%)
52 มก.
โพแทสเซียม
(10%)
485 มก.
สังกะสี
(7%)
0.64 มก.
องค์ประกอบอื่น
น้ำ73.23 g
ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้ใหญ่
แหล่งที่มา: USDA Nutrient Database

อะโวคาโดกินดิบไม่ได้เพราะมีแทนนินทำให้ขม กินมากจะปวดศีรษะ[2] รับประทานได้แต่ผลสุก กินเป็นผลไม้สด หรือกินกับไอศกรีม น้ำตาล นมข้นหวาน สลัด เค้ก

ชาวเม็กซิกันนิยมใช้เนื้ออะโวคาโดปรุงอาหารแทนเนย หรือนำมาใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในซอสกัวคาโมเล (Guacamole) ซึ่งนิยมนำมาทาบนแผ่นแป้งทอร์ทิลล่าส์ หรือขนมปัง นอกจากนี้ ชาวเม็กซิกันยังนิยมนำอะโวคาโดมาสกัดน้ำมันทำเครื่องสำอาง

ใน ฟิลิปปินส์ บราซิล อินโดนีเชีย เวียดนาม และทางตอนใต้ของ อินเดีย (โดยเฉพาะชายฝั่งเคราล่า ทมิฬนาดู และรัฐกรณาฏกะ) อะโวคาโดมักนิยมนำมาใช้ปรุงเป็นนมปั่น (Milkshake) หรือใส่ในไอศกรีม และขนมต่าง ๆ นอกจากนี้ใน บราซิล เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย อะโวคาโดถูกนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม โดยผสมกับน้ำตาล นมหรือน้ำ และอาจเพิ่มอะโวคาโดบด บางครั้งก็มักเติมซอสช็อกโกแลตลงไป ในมอร็อกโค เครื่องดื่มเย็นที่ทำมาจากอะโวคาโดและนมมักถูกเติมความหวานด้วยน้ำตาลไอซิ่ง และเพิ่มรสชาติด้วยน้ำจากดอกส้ม

แหล่งที่มา

WikiPedia: อาโวคาโด http://www.betterhealth.vic.gov.au/bhcv2/bhcarticl... http://www.cbif.gc.ca/pls/pp/ppack.info?p_psn=238&... http://www.breeders-choice.com/cat_products/avoder... http://www.breeders-choice.com/dog_products/avoder... //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18779226 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/9188921 http://ndb.nal.usda.gov/ndb/search/list http://www.aspca.org/pet-care/poison-control/plant... //doi.org/10.1093%2Fjhered%2Fesn068 //doi.org/10.1111%2Fj.1398-9995.1997.tb01019.x