อีเห็นข้างลาย หรือ
อีเห็นธรรมดา หรือ
มูสังหอม ใน
ภาษาใต้[2] (
อังกฤษ: Asian palm civet;
ชื่อวิทยาศาสตร์: Paradoxurus hermaphroditus) เป็น
อีเห็นขนาดเล็ก สีขนตามลำตัวเป็น
สีเทาเข้มจนเกือบ
ดำ ยกเว้นบริเวณรอบจมูก หู ขา และปลายหางมีสีดำมีลาย
สีขาวพาดขวางบริเวณหน้าผาก หลังมีจุดเล็ก ๆ สีดำเรียงตัวเป็นแนวยาว 3 เส้น จากไหล่ถึงโคนหาง หางมีความยาวพอ ๆ กับลำตัว ขนปลายหางบางตัวอาจมีสีขาว มีต่อมน้ำมันและจะส่งกลิ่นออกมาเมื่อเวลาตกใจ ซึ่งต่อมน้ำมันนี้จะแตกต่างจากชะมดหรืออีเห็น
ชนิดอื่น ๆ ตัวเมียมีเต้านม 3 คู่มีความยาวลำตัวและหัว 43–71
เซนติเมตร ความยาวหาง 40.6–66 เซนติเมตร น้ำหนัก 2–5
กิโลกรัมอีเห็นข้างลายมีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางมาก โดยพบตั้งแต่
รัฐชัมมูและกัศมีร์ และภาคใต้ของ
อินเดีย,
ศรีลังกา,
เนปาล,
รัฐสิกขิม,
ภูฏาน,
พม่า,
ไทย,
ลาว,
กัมพูชา,
เวียดนาม,
มาเลเซีย,
สิงคโปร์,
ฟิลิปปินส์,
เกาะสุมาตรา,
เกาะชวา,
เกาะบอร์เนียว,
เกาะซูลาเวซี และ
หมู่เกาะซุนดาน้อย และมี
ชนิดย่อยมากถึง 30 ชนิด (ดูในตาราง)มีพฤติกรรมมักอาศัยและหากินตามลำพัง สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ ตั้งแต่
ป่าดิบชื้น, ป่าดิบแล้ง ไปจนถึงชายป่าที่ใกล้กับพื้นที่
เกษตรกรรมของ
มนุษย์ กินอาหารได้ทั้ง
พืชและ
สัตว์ เช่น สัตว์ขนาดเล็กจำพวก
แมลง และน้ำหวานของ
เกสรดอกไม้ ออกหากินในเวลากลางคืน นอนหลับในเวลากลางวัน ใช้เวลาส่วนมากตามพื้นดินและจะใช้เวลาน้อยมากอยู่บน
ต้นไม้ ออกลูกครั้งละ 2–4 ตัว โดยจะเลี้ยงลูกอ่อนไว้ตามโพรงไม้หรือโพรงหิน
[3]อีเห็นข้างลายไม่ได้ถูกจัดเป็น
สัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2546
[4] ปัจจุบันทาง
สวนสัตว์เชียงใหม่ได้มีโครงการในการเพาะเลี้ยงอีเห็นข้างลาย เพื่อผลิต "
กาแฟขี้ชะมด" ซึ่งเป็นกาแฟที่ได้จากมูลของอีเห็นข้างลาย มีราคาซื้อขายที่สูงมาก
[5] และในการเพาะเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์ในการนี้ที่
จังหวัดตรังโดยเอกชนด้วย
[2]