พิกัดภูมิศาสตร์:
44°49′N 20°27′E / 44.817°N 20.450°E / 44.817; 20.450เขตผู้บัญชาการทหารแห่งเซอร์เบีย (
เยอรมัน: Gebiet des Militärbefehlshabers in Serbien;
เซอร์เบีย: Подручје Војног заповедника у Србији, อักษรโรมัน: Područje vojnog zapovednika u Srbiji) เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของ
ราชอาณาจักรยูโกสลาเวียที่อยู่ภายใต้การยึดครองของ
รัฐบาลทหารแวร์มัคท์ ภายหลัง
การบุกครองและการแบ่งยูโกสลาเวียในเดือนเมษายน ค.ศ. 1941 โดยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของ
เซอร์เบียกลาง บางส่วนของ
คอซอวอเหนือ (บริเวณใกล้เคียงกับ
คอซอฟสกามิทรอวิตซา) และ
บานัต ดินแดนนี้เป็นพื้นที่เดียวจากการแบ่งยูโกสลาเวียที่เยอรมนียึดครองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลทหาร เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางรางและเป็นเส้นทางการขนส่งใน
แม่น้ำดานูบที่สำคัญ อีกทั้งยังมีทรัพยากรที่ทรงคุณค่า โดยเฉพาะ
โลหะที่ไม่ใช่เหล็ก[3] เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1941 ดินแดนเซอร์เบียอยู่ภายใต้การปกครองสูงสุดของผู้บัญชาการทหารเยอรมันประจำเซอร์เบีย โดยมีเสนาธิการฝ่ายปกครองทหารคอยควบคุมการบริหารดินแดนแบบรายวัน อย่างไรก็ตาม สายบัญชาการและควบคุมดินแดนที่ถูกยึดครองนี้ไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกัน และเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นจากการแต่งตั้งผู้แทนโดยตรงของบุคคลสำคัญของพรรคนาซี เช่น
ไรชส์ฟือเรอร์-เอ็สเอ็สไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (ฝ่ายตำรวจและความมั่นคง)
จอมพลไรช์แฮร์มัน เกอริง (ฝ่ายเศรษฐกิจ) และรัฐมนตรีไรช์
โยอาคิม ฟ็อน ริบเบินทร็อพ (ฝ่ายกิจการต่างประเทศ) ทางเยอรมนีใช้ประโยชน์จาก
กองทัพบัลแกเรียที่ถูกเยอรมนีควบคุมเพื่อใช้ช่วยเหลือในการยึดครอง ตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ จำนวนมากได้อธิบายถึงสถานะของดินแดนที่ถูกยึดครองว่าเป็น
รัฐหุ่นเชิด รัฐในอารักขา เขตปกครองพิเศษ หรือมีสถานะเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดมีการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนหุ่นเชิดขึ้นมาสองชุดเพื่อดำเนินงานด้านการบริหารตามทิศทางและการกำกับดูแลของเยอรมนี รัฐบาลชุดแรกคือ "รัฐบาลข้าหลวงแห่งเซอร์เบีย" ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการสร้างระบอบการปกครอง แต่กลับไม่มีอำนาจใด ๆ ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 เกิดเหตุการณ์
ก่อการกำเริบขึ้นในอาณาเขตยึดครอง ซึ่งทำให้กองทหารเซอร์เบียและกรมตำรวจรักษาความสงบเรียบร้อยเยอรมันได้รับการเสริมกำลังอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยในการปราบปรามการก่อจราจลที่เกิดขึ้นจากทั้ง
พลพรรคยูโกสลาเวียและกลุ่ม
ราชาธิปไตยเชทนิกส์ ในเวลาต่อมารัฐบาลหุ่นเชิดชุดที่สองได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1941 ในชื่อ "
รัฐบาลแห่งการไถ่ชาติ" ภายใต้การนำของ
มีลาน เนดิช ซึ่งเข้ามาแทนที่รัฐบาลข้าหลวง โดยรัฐบาลชุดนี้แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอยู่บ้าง
[4] แต่กลับไม่เป็นที่นิยมชมชอบของประชากรเซิร์บส่วนใหญ่
[5] การเปลี่ยนรัฐบาลในครั้งนี้ไม่ได้ช่วยให้เยอรมนีได้รับการสนับสนุนมากขึ้น แต่กลับกันเยอรมนียังต้องส่งกองทหารจากแนวรบหน้าฝรั่งเศส กรีซ และ
แนวรบด้านตะวันออกเพื่อมาระงับการจราจล โดยเริ่มจาก
ปฏิบัติการอูซิซในปลายเดือนกันยายน ค.ศ. 1941 เพื่อขับไล่
พลพรรคยูโกสลาเวีย และตามมาด้วย
ปฏิบัติการมีไฮลอวิชในเดือนธันวาคมเพื่อสลายกลุ่ม
เชทนิกส์ อย่างไรก็ตาม การจราจลต่อต้านขนาดย่อมยังคงดำเนินต่อไปจนถึง ค.ศ. 1944 พร้อมกับการสังหารตอบโต้ของเยอรมนีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในบางครั้งจะมีการประหารชีวิตตัวประกันทั้งหมด 100 คนจากชาวเยอรมันทุกคนที่ถูกสังหารระบอบเนดิชไม่มีสถานะภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีอำนาจใด ๆ นอกเหนือไปจากอำนาจที่ได้รับจากเยอรมนี และเป็นเพียงเครื่องมือในการปกครองของเยอรมนีเท่านั้น แม้ว่ากองทัพเยอรมันจะเป็นผู้สั่งการและผู้ชี้ขาดสุดท้ายในดินแดนเซอร์เบีย อีกทั้งยังเป็นผู้ผูกขาดคำสั่งสังหารยิว แต่รัฐบาลเนดิชก็ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างแข็งขันในฐานะรัฐบาลไส้ศึก
[6] ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
ค่ายกักกันบันจีกาในเบลเกรด ที่อยู่ภายใต้การควบคุมร่วมกันของระบอบเนดิชและกองทัพเยอรมัน ในขณะที่รัฐบาลข้าหลวงถูกจำกัดการมีกำลังทหาร รัฐบาลเนดิชได้รับอนุญาตให้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธหรือ
กองกำลังพิทักษ์ชาติเซอร์เบีย (Serbian State Guard) เพื่อบังคับใช้คำสั่ง แต่กองกำลังนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บัญชาการหน่วย
เอ็สเอ็สและตำรวจระดับสูง และมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเยอรมนีจนกระทั่งกองทัพเยอรมันถอนกำลังในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 รัฐบาลแห่งการไถ่ชาติดำรงอยู่จนกระทั่งการถอนกำลังของเยอรมนี เมื่อเผชิญกับ
การรุกเบลเกรดของกองกำลังผสมระหว่าง
กองทัพแดง กองทัพประชาชนบัลแกเรีย และขบวนการพลพรรค ในระหว่างการยึดครอง ทางการเยอรมนีได้สังหาร
ชาวยิวเกือบทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ยึดครอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสังหารตอบโต้ใน ค.ศ. 1941 และมีการรมควันผู้หญิงและเด็กในช่วงต้น ค.ศ. 1942[
ต้องการอ้างอิง] ภายหลังสงครามยุติลง ผู้นำคนสำคัญของเยอรมนีและเซอร์เบียหลายคนในพื้นที่ยึดครองถูกพิจารณาคดีและประหารชีวิตในข้อหาอาชญากรสงคราม