พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ของ เมืองสวางคบุรี

เมืองสวางคบุรีนั้นมีพัฒนาการของการเป็นชุมชนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จากนั้นก็กลายเป็นเมืองที่มีพระมหาธาตุเป็นศูนย์กลาง จนในที่สุดกลายเป็นเมืองที่มีบทบาททางการเมืองหลังจากเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2

เมืองสวางคบุรี มีนักวิชาการประวัติศาสตร์หลายท่านสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากชุมชนทางการค้า ในขณะเดียวกันภาพปูนปั้นที่โบสถ์ของวัดพระฝางสวางคบุรียังเป็นรูปปั้นที่คล้ายพ่อค้าแขกเปอร์เซียยืนถือกริช ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพทางการค้าของสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่ขุนนางราชสำนักส่วนใหญ่เป็นเปอร์เซียที่คุมการค้าในกรมท่าขวา[30] ทำให้เกิดการพบปะของผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติที่มาทำการค้า และนอกเหนือจากความรุ่งเรืองทางศาสนาที่ทำให้เมืองสวางคบุรีต้องขยายตัวแล้ว เมืองสวางคบุรียังได้ขยายตัวจากการค้าของป่าที่รุ่งเรืองในสมัยอยุธยาตอนปลายและอาจจะเป็นตลาดใหญ่ในหัวเมืองเหนือ ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากหัวเมืองลาว ทั้งลาวในกลุ่มวัฒนธรรมล้านนาและล้านช้าง[31] แต่หลังจากการปราบปรามชุมนุมเจ้าพระฝางของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี คงทำให้ตลาดการค้าของป่าที่เมืองสวางคบุรีซบเซา และย้ายตลาดการค้ามาอยู่ที่บริเวณเมืองบางโพ-ท่าอิฐ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้เมืองสวางคบุรีลงมา[32]

ยุคก่อนอาณาจักรสุโขทัย

ซ้าย: กลองมโหระทึกสำริดในวัฒนธรรมดองซอน ขุดพบที่ม่อนวัดศัลยพงษ์ ตำบลท่าเสา ในปี พ.ศ. 2470[33]
กลาง: ซากกระดูกที่กลายเป็นหินและโบราณวัตถุของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบที่บ้านบุ่งวังงิ้ว ใกล้กับบึงกะโล่ (สองหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวและการตั้งถิ่นฐานของแหล่งชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ใกล้กับเมืองสวางคบุรี)
ขวา: ถ้วยกระเบื้องแบบจีน พบบนเนินทรายกลางแม่น้ำน่านบริเวณบ้านคุ้งตะเภา (หลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเส้นทางคมนาคมและชุมนุมการค้าสำคัญของสวางคบุรีช่วงต่อมา ก่อนจะหมดความสำคัญลงในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์)

ด้วยเมืองสวางคบุรีที่ตั้งอยู่ที่เหนือสุดในที่ราบลุ่มแม่น้ำน่านตอนล่าง มีความอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และติดกับแหล่งน้ำซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการอุปโภคบริโภค รวมทั้งเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญด้วย จึงเหมาะสมอย่างยิ่งในการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของมนุษย์[34]

จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดพระฝาง พบว่า ในชั้นดินล่างสุด เป็นชั้นดินสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งน่าจะมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ระหว่าง 3,500-2,000 ปี มาแล้ว มีการพบเครื่องมือหินขัดที่พบมีขนาดใหญ่ 8 x 25 เซนติเมตรและเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมากตามริมฝั่งแม่น้ำน่านที่ระดับ 4 เมตรจากผิวดิน [35] ต่อมาชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ก็ได้มีพัฒนาการทางสังคมเกิดขึ้น โดยคงมีการรวมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่อยู่บริเวณริมฝั่งทางด้านซ้ายของแม่น้ำน่าน และกลายเป็นเมืองขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 11-16[36]

พัฒนาการของเมืองสวางคบุรีน่าจะเริ่มต้นจากการขยายตัวทางการค้าของจีนในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งจีนได้เปลี่ยนนโยบายทางการค้าจากเดิมที่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพ่อค้าแคว้นศรีวิชัย มาเป็นการค้าที่จีนส่งคนเข้ามาทำการค้าโดยตรงกับบ้านเมืองต่างๆ ในบริเวณสุวรรณภูมิ[37]

ในพุทธศตวรรษที่ 18 การค้าก็ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการขยายตัวของกลุ่มคนไปตามที่ราบลุ่มแม่น้ำสายใหญ่ๆ และตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งที่มีทรัพยากรสำคัญซึ่งเป็นสินค้าที่จีนต้องการ หรือตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่เป็นชุมทางการคมนาคม ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ทำให้เมืองสวางคบุรีได้ก่อตัวขึ้นเป็นชุมชนขนาดใหญ่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน อันเป็นพื้นที่ที่มีไม้ฝางซึ่งเป็นสินค้าที่จีนต้องการ และอยู่บนเส้นทางคมนาคมระหว่างบ้านเมืองทางตอนในนี้ด้วย นอกจากเมืองสวางคบุรีแล้ว ยังมีเมืองอื่นๆ ที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน อย่างเช่น เมืองทุ่งยั้งที่เป็นชุมทางการค้าทางบกและเมืองนครไทย ซึ่งมีสินค้าจำพวกของป่ามากมาย [38]

เมื่อเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 19 บ้านเมืองที่อยู่บนเส้นทางคมนาคมหลักได้พัฒนาการเป็นรัฐขึ้น เช่น รัฐสุโขทัย รัฐอโยธยา นครรัฐน่านและรัฐล้านช้าง (หลวงพระบาง) เมืองสวางคบุรีได้กลายเป็นเมืองชายขอบของรัฐสุโขทัยที่ติดต่อกับนครรัฐน่านและรัฐล้านช้าง ทำให้เมืองสวางคบุรีมีสภาพหรือฐานะเป็นเมืองด่านที่ควบคุมเส้นทางคมนาคมที่จะต่อไปยังเมืองน่านและบรรดาเมืองทางลุ่มแม่น้ำโขง ในแถบเมืองหลวงพระบางด้วย อาจกล่าวได้ว่าตำแหน่งที่เมืองสวางคบุรีตั้งอยู่นี้ อยู่ในบริเวณตอนเหนือสุดของลุ่มแม่น้ำน่านตอนล่าง หรืออีกนัยหนึ่งอยู่ตอนเหนือสุดเขตแคว้นสุโขทัย [39]

เมืองสวางคบุรีจึงตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางบนเส้นทางคมนาคมระหว่างรัฐโบราณถึง 3 รัฐ นั่นก็คือ 1. รัฐสุโขทัยซึ่งต่อมาก็จะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอยุธยา 2. รัฐล้านช้างซึ่งระยะแรกมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหลวงพระบางต่อมาได้ย้ายลงมาอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ และ 3. นครรัฐน่าน[40]

ยุคอาณาจักรสุโขทัย

พระมหาธรรมราชาลิไท แห่งอาณาจักรสุโขทัย เคยเสด็จมาเมืองสวางคบุรี และสถาปนาศิลาจารึกไว้แก่พระมหาธาตุเมืองฝาง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นจารึกที่กล่าวถึงในจารึกนครชุม ว่าพญาลิไทโปรดให้สร้างขึ้น

เมืองสวางคบุรีได้รับการพัฒนาเป็นเมืองหน้าด่านและเป็นเมืองสำคัญทางพระพุทธศาสนาของอาณาจักรสุโขทัยไปด้วยกัน ในศิลาจารึกหลักที่ 3 จารึกนครชุม พบที่วัดพระบรมธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร จารึกเมื่อ ปีมหาศักราช 1279 (พ.ศ. 1900) ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) มีเนื้อหาบางส่วนกล่าวถึงศิลาจารึกและรอยพระพุทธบาทต่างๆ ที่พระธรรมราชาทรงสร้างในหัวเมืองต่างๆในอาณาเขตของพระองค์ พบเนื้อความที่กล่าวถึงเมืองฝางด้วย [41]

ถ้าหากพิจารณาข้อมูลแล้วจะทำให้พบว่า เมืองสวางคบุรีได้พัฒนาความเป็นเมืองมาจากข้าพระธาตุ ที่ต่อมามีมากจนกลายเป็นชุมชนที่ดูแลพระมหาธาตุโดยเฉพาะ ในระยะหลังก็คงมีประชาชนส่วนอื่นมาอาศัยอยู่ร่วมด้วย เมืองสวางคบุรีในยุคนี้คงเป็นชุมชนที่สงบเรียบง่าย และยึดมั่นในความเชื่อทางด้านพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

ความสำคัญของการถือกำเนิดขึ้นมาของเมืองสวางคบุรีในระยะแรกนั้น คงไม่ได้มีความสำคัญอยู่ในเรื่องเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองเพียงด้านเดียว แต่น่าจะอยู่ที่พระมหาธาตุอันเป็นเรื่องทางศาสนาและพิธีกรรมด้วย เพราะการปลอดการครอบงำทางการเมือง จะเป็นเหตุให้คนจากบ้านเมืองต่างๆ รวมทั้งเจ้านายและขุนนางได้พามากราบไหว้กันได้สะดวก นับได้ว่าเป็นเบ้าหลอมทางวัฒนธรรม ที่ทำให้ผู้คนหรือผู้นำที่ต่างบ้านเมืองกัน มามีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่มีวัฒนธรรมร่วมสมัยเดียวกัน [42]

ยุคอาณาจักรอยุธยา

ภาพบุคคลปูนปั้นที่ผนังโบสถ์วัดพระฝางด้านนอก คล้ายพ่อค้าแขกเปอร์เซียยืนถือกริช แสดงให้เห็นว่า มีคนหลายกลุ่มเดินทางมา โดยเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช[43]

เมืองสวางคบุรีได้ขยายตัวอย่างมากจากการค้าของป่าที่รุ่งเรืองในสมัยอยุธยาตอนปลาย และอาจจะเป็นตลาดใหญ่ในหัวเมืองเหนือ ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากหัวเมืองลาว ทั้งลาวในกลุ่มวัฒนธรรมล้านนาและล้านช้าง [44]

และเนื่องจากไม้ฝาง ที่มีอยู่ทั่วไปโดยรอบเมืองสวางคบุรี เป็นหนึ่งในสินค้าต้องห้ามในสมัยอยุธยา โดยมากตัดมาจากป่าทางภาคเหนือและทางตะวันตก ไม้ชนิดนี้เหมาะกับงานยอมผ้า ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง บันทึกว่าสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ราชสำนักอยุธยาส่งไม้ฝางลงเรือสำเภาไปขายที่จีนและญี่ปุ่นปีละหลายลำ [45] โดยเฉพาะจีนนั้นนอกจากอยุธยาจะส่งออกไปจำหน่ายแล้ว ยังส่งเป็นบรรณาการแด่ฮ่องเต้จีนตั้งแต่เริ่มแรกอีกด้วย[46] เมืองสวางคบุรีคงเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งทางหัวเมืองเหนือ ที่ส่งไม้ฝางไปยังกรุงศรีอยุธยา[47]

ยุคธนบุรี (ภาวะจลาจลหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2)

ดูเพิ่มเติมที่: ชุมนุมเจ้าพระฝาง

หลังจากเหตุการณ์ที่พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาจนต้องเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 บรรดาหัวเมืองใหญ่ที่มีกำลังมากและไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่า ต่างก็ตั้งตัวเป็นอิสระ และขยายอำนาจรวบรวมเมืองใกล้เคียงที่อ่อนแอกว่าไว้ในอำนาจ เพื่อที่จะสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ เมืองสวางคบุรีซึ่งเดิมตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามครั้งนี้ ก็ได้ตั้งตัวเป็นอิสระในการปกครองอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การนำของพระพากุลเถร สังฆราชาแห่งเมืองสวางคบุรี หรือที่คุ้นชื่อกันดีในนาม “เจ้าพระฝาง” แต่หลังจากที่มีความรุ่งเรืองอยู่ไม่นานก็ถูกกองทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบปรามลง ในปี พ.ศ. 2313 จนทำให้เมืองถูกทำลายเป็นอย่างมาก[48]

พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประดิษฐาน ณ ที่ตั้งพระตำหนักค่ายหาดสูง ตามพระราชพงศาวดาร (วัดคุ้งตะเภา)

สาเหตุที่กองทัพเจ้าพระฝางพ่ายแพ้ต่อกองทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรีอย่างง่ายดายนั้น นอกจากจะมีกำลังพลที่น้อยกว่าและขาดอาวุธที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีนักวิชาการบางท่านวิเคราะห์ว่า กองทัพเจ้าพระฝางซึ่งแม้จะตีพิษณุโลกได้แล้วก็มิได้ย้ายศูนย์อำนาจจากเมืองฝางหรือสวางคบุรีมาตั้งมั่นที่เมืองพิษณุโลก เพราะอำนาจปาฏิหาริย์ของเจ้าพระฝาง หัวหน้าชุมนุมผูกพันอยู่กับความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุเมืองฝางซึ่งผู้คนนับถือมาก จึงทำให้ชุมนุมนี้มีคนเข้าร่วมอย่างกว้างขวาง แต่ขาดระเบียบและการบริหารที่ดี [49] เมื่อกองทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรียกมาตีจึงแตกโดยง่าย[50][51]

รูปหล่อบุคคลในพิพิธภัณฑ์วัดพระฝาง ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นรูปหล่อของเจ้าพระฝางเรือน อดีตผู้นำชุมนุมอิสระหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง

หลังชุมนุมเจ้าพระฝางถูกปราบลงสำเร็จ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงพักทัพอยู่ที่ค่ายพระตำหนักหาดสูง เมืองสวางคบุรี 3 เดือน ตลอดฤดูน้ำ เพื่อบัญชาการจัดระเบียบคณะสงฆ์หัวเมืองเหนือใหม่ทั้งหมดในปีเดียวกันนั้น และให้เกลี่ยกล่อมรวบรวมราษฎรที่หลบหนีภัยสงครามตามป่าเขา และจัดการการปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือใหม่ พร้อมทั้งสร้างวัดคุ้งตะเภา และสร้างศาลาบอกมูลฯ ขึ้นในจุดที่ตั้งของที่พักทัพไพร่พลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คราวกระทำศึกปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรวบรวมชุมชนและเป็นที่พำนักสั่งสอนของพระสงฆ์ผู้ทรงภูมิธรรมที่ทรงอาราธนานิมนต์มาจากกรุงธนบุรี ปัจจุบันปรากฏซากเสาอาคารไม้ เศษอิฐโบราณ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานสมุดไทยดำพระราชกำหนดบทพระอัยการลักษณะต่าง ๆ จำนวนมาก แสดงถึงการเป็นจุดศูนย์รวมสำคัญของชุมนุมผู้คนในสมัยอดีต ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ตกค้างมาจากการที่บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งศูนย์กลางชั่วคราวของเมืองสวางคบุรีในอดีตหลังสงครามปราบชุมนุมเจ้าพระฝางยุติลง[52][53]

หลังจากการทำสงครามดังกล่าวเสร็จสิ้น เจ้าพระฝางก็หายสาบสูญไป อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเมืองสวางคบุรีของเจ้าพระฝางก็ล่มสลายลง ศูนย์กลางเมืองเหลือไว้แต่เพียงวัดพระมหาธาตุเมืองฝาง อันเคยเป็นศูนย์รวมใจของชาวเมืองสวางคบุรี ที่มีสภาพทรุดโทรมลงในระยะต่อมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการปราบปรามชุมนุมเจ้าพระฝางของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ส่งผลให้ตลาดการค้าของป่าที่เมืองสวางคบุรีซบเซา เพราะบอบช้ำจากภัยสงคราม และผู้คนจำนวนหนึ่งก็ค่อย ๆ อพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น บริเวณคุ้งตะเภา ท่าเสา ท่าอิฐ บางโพ ตามลำดับ จึงอาจเรียกได้ว่าภาวะจลาจลหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เป็นยุคที่เมืองสวางคบุรีมีความผกผันจากจุดรุ่งเรืองสูงสุด ลงสู่จุดที่บ้านเมืองมีสภาพบอบช้ำจากการสงครามในเวลาไม่นานนัก[54]

ยุคกรุงรัตนโกสินทร์

ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองบางโพ-ท่าอิฐ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้เมืองสวางคบุรีลงมา ได้กลายเป็นตลาดชุมทางการค้าที่มีบทบาทไม่ต่างไปจากเมืองฝาง เนื่องจากเป็นชุมทางการค้าขนาดใหญ่และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ที่เจริญขึ้นมาจากการค้าขายทั้งทางน้ำและทางบกกับหัวเมืองล้านนาและล้านช้างในบริเวณดังกล่าว นอกจากนั้น ยังมีความเหมาะสมในทางภูมิศาสตร์ไม่ต่างไปจากเมืองสวางคบุรี และยังสามารถเป็นทั้งชุมทางการค้าทางน้ำและทางบกที่สามารถเชื่อมต่อยังเมืองแพร่และเมืองสวรรคโลกได้ จนทำให้ได้รับพระราชทานชื่อ "อุตรดิตถ์" ในสมัยรัชกาลที่ 4 จนภายหลังมีการสร้างทางรถไฟ ได้มีการย้ายเมืองพิชัยมาตั้งอยู่ที่นั่น และกลายเป็นที่ตั้งของตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน[55]