เยติ หรือ
มนุษย์หิมะ (
อังกฤษ: Yeti, Abominable snowman;
ธิเบต: གཡའ་དྲེད་;
เนปาลี: हिममानव
[2]himamānav, คำแปล "มนุษย์หิมะ") เป็นชื่อที่ใช้เรียก
สัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ใน
ความเชื่อของชาว
เชอร์ปา ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบ
เทือกเขาหิมาลัย ใน
ประเทศเนปาล,
ภูฏาน,
ธิเบต,
จีน จนถึงบางพื้นที่ใน
มองโกเลียและ
รัสเซีย โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่สูงตั้งแต่ 5–8 ฟุต น้ำหนักประมาณ 600 ปอนด์
[3] ที่คล้าย
มนุษย์ผสมกับ
ลิงไม่มีหางคล้าย
กอริลลา มี
ขนยาว
สีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาล
ดำหรือ
สีเทาหรือเทาเข้มปกคลุมทั้งลำตัว ยกเว้นใบหน้าที่มีสีคล้ำ มีเสียงร้องที่น่าสะพรึงกลัว โดยปรกติแล้ว เยติเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และ
สัตว์เลี้ยง เช่น
จามรี ได้ในบางครั้ง เยติ ปรากฏอยู่ใน
วัฒนธรรมของชาวเชอร์ปามาอย่างช้านาน โดยถูกกล่าวถึงใน
นิทานและ
เพลงพื้นบ้าน และเรื่องเล่าขานต่อกันมาถึงผู้ที่เคยพบมัน นอกจากนี้แล้วยังปรากฏใน
ศิลปะของ
พุทธศาสนานิกายมหายานแบบธิเบต โดยปรากฏเป็นภาพในพรมธิเบตที่แขวนไว้ที่ฝาผนังเหมือน
จิตรกรรมฝาผนังในวัดลามะอายุกว่า 400
ปี เป็นภาพของสิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างหนึ่งที่ขนดกอยู่ด้านมุมภาพและในมือถือกะโหลกมนุษย์อยู่
[3] และปัจจุบันนี้ ก็มีสิ่งที่เชื่อว่าเป็น
หนังหัวของเยติถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในวัดลามะแห่งหนึ่งในคุมจุง ซึ่งนับว่าเยติเป็นสัตว์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงยาวนานกว่าสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกันชนิดอื่นที่พบในอีกซีกโลก เช่น
บิ๊กฟุต หรือ ซาสควาทช์ ในทวีปอเมริกาเหนือ,
ยาวี ในทวีปออสเตรเลีย หรือ
อัลมาส์ ในเอเชียกลาง หากแต่หลักฐานเกี่ยวกับเยติเมื่อเทียบกับบิ๊กฟุตแล้วพบน้อยกว่ามาก แต่มีหลายกรณีที่บ่งชี้ว่าเป็นสัตว์ที่ดุร้าย ก้าวร้าวกว่ามาก
[3]นอกจากคำว่าเยติแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่เรียกเยติ เช่น
เธลม่า (Thelma), แปลว่า "
ชายตัวเล็ก" เชื่อว่ามีนิสัยรักสงบ ชอบสะสม
กิ่งไม้และชอบ
ร้องเพลงขณะที่เดินไป,
ดซูท์เทห์ (Dzuteh) เป็นเยติขนาดใหญ่ มีขนหยาบกร้านรุงรัง มีนิสัยดุร้ายชอบโจมตีใส่มนุษย์,
มิห์เทห์ (Mith-teh) มีนิสัยคล้ายดซูท์เทห์ คือ ดุร้าย มีขนสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำ,
เมียกา (Mirka) แปลว่า "
คนป่า" เชื่อว่าหากมันพบเห็นสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือ
สัตว์ มันจะทำร้ายจนถึงแก่
ความตาย,
คัง แอดมี (Kang Admi) แปลว่า "มนุษย์หิมะ" และ
โจบราน (JoBran) แปลว่า "ตัวกินคน" ขณะที่ในภูฏานเรียกว่า
มิกอย (Migoi) หรือ
นากอย (Nagoi) ส่วนชื่อ
มนุษย์หิมะ นั้น ปรากฎขึ้นครั้งแรกเมื่อปี
ค.ศ. 1921 เมื่อนักสำรวจชาวตะวันตกซึ่งเป็นผู้ที่ถ่ายภาพรอยเท้าของเยติไว้ได้เป็นภาพแรก เจอกับปัญหาการแปล
ภาษาเชอร์ปา ซึ่งมาจากคำว่า "ดซูท์เทห์" ที่แปลได้ว่า "มนุษย์ตัวเหม็นแห่งหิมะ" ซึ่งเขาได้เขียนลงในบันทึกในฐานที่พักว่า "มนุษย์ตัวเหม็นน่ารังเกียจแห่งหิมะ"
[3]ที่ภูฏาน ชาวพื้นเมืองต่างเชื่อว่าเยติมีจริง หลายคนเคยได้พบเจอตัวหรือได้ยินเสียงของเยติ โดยกล่าวว่าเยติเป็นสัตว์ดุร้าย ที่ฆ่ามนุษย์ได้ มีรูปร่างสูงใหญ่ มีพละกำลังมาก มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมทั่วร่างรวมถึงมีใบหน้าคล้ายลิง มีเขี้ยวที่ยาวและแหลมคม เสียงร้องของเยติเป็นเสียงสูง เยติอาศัยอยู่ตามถ้ำหรือในป่าลึก ออกหากินในช่วงเวลาที่อากาศอบอุ่น ทำรังด้วยการใช้กิ่งไม้ขัดสานกันเหมือนเตียงนอน และเชื่อว่าหากผู้ใดต้องการพบเห็นตัวเยติต้องทำร่างกายให้สกปรก หากเนื้อตัวสะอาดก็จะไม่ได้พบเยติ
[4] มีรายงานการพบเห็นเยติเป็นจำนวนมากทางตอนเหนือของ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสากเต็ง ใน
เขตตราชิกัง[5][6] [3]เรื่องราวของเยติที่โจมตีใส่มนุษย์นั้น ได้ถูกทำเป็นรายงานส่งไปยังเมือง
กาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ซึ่งปากคำของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถูกบันทึกโดยอาสาสมัคร
ชาวอเมริกันที่ทำงานในเนปาล โดยผู้ถูกทำร้ายเป็น เด็กหญิงชาวเชอร์ปาคนหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1974 โดยเธอบอกว่าขณะกำลังนำจามรีไปดื่ม
น้ำที่ลำธาร เธอรู้สึกว่าถูกอะไรบางอย่างจ้องมองอยู่ แล้วจู่ ๆ เยติตัวหนึ่งก็โผล่มาทำร้ายเธอ แต่เธอกรีดร้องลั่น จนมันปล่อยเธอ และเธอสลบไป มันหันไปทำร้ายจามรีของเธอจนถึงแก่
ความตายทั้งหมด 5 ตัว ด้วยการบิดเขาและหักคอ และ
ไรน์โฮลด์ เมสเนอร์ นักปีนเขาที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลีเล่าว่า เยติสามารถฆ่าจามรีได้ด้วยชกด้วยกำปั้นเพียงครั้งเดียว ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นจามรีของชาวบ้านถูกฆ่าตายในธิเบต เขาตามรอยเท้าจามรีไป ก็พบเห็นมีรอยเท้าเยติติดตามไปด้วย รวมถึงในช่วงเวลากลางดึกระหว่างที่เขาปีนเขาอยู่คนเดียวในระดับความสูง 13,000 ฟุต เมื่อปี ค.ศ. 1986 เขารู้สึกว่าการกระทำแบบนี้อันตรายและเขาอยากจะหาที่พักหรือหมู่บ้าน แต่แล้วเขาก็เห็นร่างของสัตว์อะไรบางอย่างที่เหมือนมนุษย์ขนาดใหญ่ มีขนดก ยืนด้วยสองขา ห่างจากตัวเขาไปประมาณ 50 เมตร แต่เขาก็ไม่สามารถระบุตัวมันได้ชัดเจนเพราะเป็นเวลากลางดึก และนั่นทำให้เขาหวาดกลัวมากจนไม่กล้าที่จะหยุดพักและต้องเดินทางตลอดทั้งคืน และเขายังพบเห็นรอยเท้าอีกด้วยในเวลาต่อมา
[4]เรื่องราวเยติเป็นที่สนใจของ
ชาวตะวันตก เมื่อชาวตะวันตกได้เข้ามาบุกเบิกและยึดครองดินแดนแถบนี้ ได้มีการตามล่าและค้นคว้าเกี่ยวกับเยติ ซึ่งก็ได้พบกับหลักฐานการมีอยู่ของเยติมากมาย ทั้ง
รอยเท้า, ขนและ
มูล และแม้กระทั่งประจักษ์พยานที่เคยได้พบเห็น ซึ่งโดยมากเป็นนักปีนเขา ซึ่งหลักฐานส่วนใหญ่ได้ถูกบันทึกไว้เป็น
รูปถ่าย โดยหลักฐานแรกของเยติที่ชาวตะวันตกได้รับรู้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1832 เมื่อ เอ.ที. ฮอดจ์สัน ชาวอังกฤษรายงานถึงสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ มีขนดก ยืนด้วยสองขา ปรากฏอยู่ และรูปถ่ายของรอยเท้าเยติรูปแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1921 โดยนักสำรวจชาวอังกฤษซึ่งเป็นนายทหารระดับนายพัน ถ่ายไว้ได้ในระดับ
ความสูงจาก
ระดับน้ำทะเล 5,029
เมตร และในปี ค.ศ. 1951 หลักฐานทางกายภาพของเยติชิ้นแรกก็ปรากฏขึ้นเมื่อ
อีริก ชิปตัน และไมเคิล วาร์ด ถ่ายภาพร่องรอยที่เหมือนรอยเท้ากระโดดเป็นทางยาวบนพื้นหิมะที่เชิงเขา ผู้นำทางชาวเชอร์ปาบอกกับเขาว่า เป็นรอยเท้าของเยติ ซึ่งเป็นสัตว์ที่น่ากลัว และจากหลักฐานชิ้นนี้เป็นจุดเริ่มที่ทำให้การตามหาเยติว่ามีตัวตนจริงหรือไม่
[3] แม้แต่เซอร์
เอดมันด์ ฮิลลารี และ
เทนซิง นอร์เก บุคคลสองคนแรกที่พิชิต
ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้ ก็อ้างว่าเคยได้พบร่องรอยและได้ยินเสียงร้องของเยติในปี ค.ศ. 1953 เป็นเสียงที่น่ากลัว และพ่อของนอร์เกเล่าว่า ตนเคยได้ยินเสียงร้องของเยติขณะที่เฝ้าฝูงจามรีในระดับความสูง 16,000 ฟุต และเคยพบกับเยติถึง 2 ครั้ง ขณะที่ตัวของนอร์เกเองไม่เคยพบกับเยติจริง ๆ สักครั้ง
[7] แต่ขณะที่คณะสำรวจของฮิลลารีและนอร์เกอยู่ในระดับความสูง 18,000 ฟุต ก็ยังได้ยินเสียงร้องที่น่ากลัว มันทำให้ลูกหาบและผู้นำทางชาวเชอร์ปาหวาดกลัวมาก
[3]มีผู้ตั้งข้อ
สันนิษฐานเกี่ยวกับเยติไว้มากมาย เช่น เชื่อว่ามันอาจเป็นสัตว์ชนิดอื่นที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขานี้ เช่น
หมีสีน้ำเงินธิเบต และ
หมีสีน้ำตาลหิมาลัย ซึ่งเป็น
หมีสีน้ำตาลชนิดที่หาได้ยากมาก ที่สามารถยืนด้วยสองขาหลังเหมือนมนุษย์ และสร้างรอยเท้าที่ดูเหมือนของเยติได้
[8][9],
เสือดาวหิมะ,
อีกาปากแดง ที่มักจะทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นหิมะด้วยการกระโดด หรือแม้แต่เป็น
ชะนีขนาดใหญ่ แต่มีนัก
สัตววิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับรอยเท้าของเยติ กล่าวว่า รอยเท้าของเยติบ่งว่า เยติมี
เท้าที่ไม่เหมือนกับหมีหรือสัตว์ชนิดอื่นใดเลย นอกจากสัตว์ใน
อันดับไพรเมทอันเป็น
อันดับเดียวกับ มนุษย์ และลิงไม่มีหาง แต่มีสิ่งที่แปลกออกไปคือ นิ้วเท้านิ้วที่ 2 มีขนาดใหญ่ และมีกระดูกอุ้งเท้าที่สั้นผิดปกติ ดูคล้ายกับเท้าของลิง
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่มี
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Gigantopithecus จึงทำให้เชื่อได้ว่า เยติอาจเป็นลิงชนิดนี้ที่เคยเชื่อว่า
สูญพันธุ์ไปแล้วก็เป็นได้ นอกจากนี้แล้วยังได้ข้อสรุปว่า เยติเป็น
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีโครงสร้างของร่างกายใหญ่และหนาทึบ และเดินด้วยสองขาหลังเหมือนมนุษย์ นอกจากนี้แล้ว เอียน เรดมอนด์ นักวานรวิทยาผู้เชี่ยวชาญเรื่องลิงไม่มีหาง สันนิษฐานว่าเยติไม่น่าจะอาศัยอยู่ในที่ ๆ มีความสูงมาก แต่น่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเนื่องจากเป็นสถานที่ ๆ มีพืชซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่เหมาะกับไพรเมทหรือลิงไม่มีหางขึ้นอยู่อย่างสมบูรณ์
[3]ในต้นเดือน
ตุลาคม ค.ศ. 2011 นักวิทยาศาสตร์จากหลายชาติ เช่น
สหรัฐอเมริกา,
รัสเซีย,
เอสโตเนีย,
สวีเดน,
จีน และ
มองโกเลีย ได้รวมตัวกันเพื่อประชุมและตามล่าเยติที่ภูมิภาค
เคเมโรโว ใน
แคว้นไซบีเรีย ของ
ประเทศรัสเซีย และสถานที่ใกล้เคียง เช่น
เทือกเขาอัลไต เพราะมีรายงานการพบเห็นเยติในแถบนี้มากถึง 3 เท่าจากเมื่อ 20 ปีก่อน โดยพบรอยเท้าขนาด 35
เซนติเมตร หรือสิ่งก่อสร้างที่คล้าย
กระท่อมอย่างง่าย ๆ จาก
กิ่งไม้ก็ถูกพบ ทำให้คาดว่ามีเยติในภูมิภาคนี้มากถึง 70–80 ตัว และนับเป็นการล่าเยติอย่างจริงจังที่สุดนับตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1958 ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียต ลงทีมไปสำรวจในพื้นที่ทางตะวันตกของไซบีเรีย เพื่อตามจับเยติ
[10]นอกจากนี้แล้ว ยังมีชาวตะวันตกได้โพสต์ไว้ในเว็บไซต์หนึ่งว่า เคยมีพรานชาวไทยพบเจอกับเยติสูง 6 ฟุต เดินตัวตรง ขนยาวรุงรังที่
อุทยานแห่งชาติแม่จริม จังหวัดน่าน ในพื้นที่
ภาคเหนือของไทยด้วย
[7]ในปี ค.ศ. 2017 บริษัทสร้างภาพยนตร์อิสระ ไอคอนฟิล์ม ได้ให้เงินทุนและตัวอย่าง 9 ชิ้น ซึ่งเป็นของที่เชื่อว่าเป็นของเยติแก่ ดร.ชาร์ลอตต์ ลินต์ควิสต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิวัฒนาการของหมีแห่งมหาวิทยาลัยบัฟฟาโล ในเมือง
บัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อสนับสนุนความเชื่อที่ว่าเยติมีจริง แต่ทว่าจากการตรวจสอบโดยการเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของหมีหลากหลายถิ่นที่อยู่ทั้งหมีในสวนสัตว์หลายแห่ง และหมีในธรรมชาติรวมทั้งหมด 15 ตัวอย่าง และตรวจสอบโดยมุ่งไปที่
ไมโตคอนเดรียดีเอ็นเอพบว่า ตัวอย่างที่ได้มานั้น 8 ชิ้น ซึ่งเป็นขนและหนังหัวนั้นเป็นของหมีสีน้ำตาลหิมาลัย ซึ่งเป็นหมีสีน้ำตาลชนิดที่ยากมาก มีข้อมูลและคำบรรยายทางวิทยาศาสตร์ไม่มาก เนื่องจากเป็นหมีที่มีถิ่นที่อยู่ที่เข้าถึงได้ยาก และเป็นหมีที่มีวิวัฒนาการของตัวเองแยกออกจากหมีสีน้ำตาลทั่วไปที่พบในทวีปเอเชีย จึงทำให้มีลักษณะแตกต่างออกไปด้วย และอีกชิ้นหนึ่งนั้นเป็นกระดูกและเขี้ยวก็พบว่าเป็นของสุนัข
[11]จากชื่อเสียงและปริศนาของเยติ ส่งผลให้มันกลายเป็นสิ่งที่มีค่าในเชิง
การค้า จนเสมือนเป็น
สัญลักษณ์หนึ่งของประเทศเนปาลและภูฏาน
[4] รวมถึงเทือกเขาหิมาลัย เช่น สายการบินประจำชาติของเนปาลที่ชื่อ
เยติแอร์ไลน์ และเป็นของ
โรงแรมชื่อ Yak and Yeti เป็นต้น (Yak หมายถึง จามรี)นอกจากนี้แล้วยังปรากฏใน
วัฒนธรรมร่วมสมัยหลายอย่าง เช่น เป็นตัวละครใน
เกมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น Diablo II, World of Warcraft และเป็นตัวละครตัวหนึ่งใน
ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง
The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor ที่ออกฉายในปี
ค.ศ. 2008 เป็นต้น