• ป้ายรถเมล์ (
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ)
• สถานีตำรวจ (
สะพานควาย,
พญาไท)
• ห้างสรรพสินค้า
ซีคอนสแควร์• ตลาด (
คลองเตย )
•
สี่แยกแคราย (
จังหวัดนนทบุรี)
• ตู้ไปรษณีย์ (
ถนนสุขุมวิท ซอย 62)
• ร้านอาหารที่ (
คลองแสนแสบ,ประตูน้ำ, ใกล้
เซ็นทรัลเวิลด์)
• ตู้โทรศัพท์ (เซ็นทรัลเวิลด์)
เหตุระเบิดในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2549 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549 และ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 ระหว่างงานเฉลิมฉลอง
วันสิ้นปีใน
กรุงเทพมหานคร โดยระเบิดสี่ลูกได้เกิดระเบิดขึ้นเกือบพร้อมกันในหลายส่วนของเมืองเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ตามมาด้วยระเบิดอีกหลายลูกภายในระยะเวลา 90 นาทีต่อมา ระเบิดอีกสองลูกเกิดระเบิดขึ้นหลังเที่ยงคืน รวมทั้งหมดแล้ว เกิดระเบิดขึ้นแปดครั้งในคืนดังกล่าววันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 มีการยืนยันผู้เสียชีวิต 3 คน และอีกมากกว่า 38 คนได้รับบาดเจ็บ
[1] ระเบิดอีกหนึ่งลูกได้เกิดระเบิดขึ้นภายในโรงภาพยนตร์ แต่ระเบิดลูกดังกล่าวไม่ได้รับการรายงานจนกระทั่งวันรุ่งขึ้นเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเผยแพร่ในด้านลบ วันเดียวกัน เกิดระเบิดขึ้นที่
มัสยิดใน
จังหวัดเชียงใหม่ ทางการสั่งการยกเลิกการจัดกิจกรรมวันสิ้นปีสาธารณะทั้งหมด รวมไปถึงการนับถอยหลังที่ศูนย์การค้า
เซ็นทรัลเวิลด์ และการทำบุญตักบาตรที่
สนามหลวงชายคนหนึ่งถูกจับกุมในกรุงเทพมหานครเนื่องจากพกพาอุปกรณ์ระเบิด และตำรวจจังหวัดเชียงใหม่อ้างว่าภารโรงของมัสยิดที่เกิดระเบิดขึ้นนั้นยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ทำระเบิดขึ้น ไม่มีผู้ใดอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดดังกล่าว นายกรัฐมนตรี พลเอก
สุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวประณาม "พวกอำนาจเก่า" ว่าเป็นกลุ่มที่รับผิดชอบกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น โดยหมายความถึง
รัฐบาลพันตำรวจโท
ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มผู้ที่สูญเสียอำนาจทางการเมืองจาก
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549[2] ทั้ง
พรรคไทยรักไทย และอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด
[3] ในภายหลัง พล.อ.สุรยุทธ์ได้กลับคำและยอมรับการกล่าวถึงว่าพันธมิตรของทักษิณเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น "เป็นเพียงการวิเคราะห์ด้านข่าวกรอง" และไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลชัดเจนสนับสนุน
[4]อักษรย่อ "IRK" ถูกพบเขียนด้วยมาร์กเกอร์ในสถานที่สี่แห่งจากเหตุระเบิดสามจุด ซึ่ง IRK เป็นหน่วยกองโจรก่อการร้ายในเมืองซึ่งได้รับการฝึกใน
อัฟกานิสถาน[5] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นาย
อารีย์ วงศ์อารยะ ขจัดการเสนอแนะว่าผู้ลงมือเป็นกลุ่มก่อการร้ายมุสลิม
[6] การประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์และหน่วยงานด้านความมั่นคงและข่าวกรองหลายแห่งในตอนเย็นของวันที่ 31 ธันวาคม ไม่สามารถระบุผู้ก่อเหตุดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
[7]วันที่ 1 มกราคม พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ถึงแม้ระเบิดที่ใช้จะมีรูปแบบคล้ายคลึงกับที่ใช้โดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนใน
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศ การสืบสวนในเชิงลึกกลับไม่พบความเชื่อมโยง และกล่าวว่า "ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะมาถึงที่นี่เนื่องจากอาจหลงทางในกรุงเทพมหานครได้"
[8][9] ในภายหลัง ตำรวจได้จับกุมบุคคลมากกว่าสิบสองคน รวมทั้งนายทหาร โดยต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด ผู้นำคณะรัฐประหาร พล.อ.
สนธิ บุญยรัตกลิน อ้างว่านายทหารทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อมา การสืบสวนของตำรวจกลับพบว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนภาคใต้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดดังกล่าว เนื่องจากวงจรจุดระเบิดและวัสดุอื่นที่ใช้ทำระเบิดนั้นเหมือนกับที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนใช้กัน
[10] อย่างไรก็ตาม คณะรัฐประหารกล่าวว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่สำคัญเท่าใดนัก โดยอ้างว่าพวกเขาว่าจ้างผู้ที่เกี่ยวข้องกับ
วิกฤตการณ์การเมืองในกรุงเทพมหานครมาทำงาน
[11]