ภูมิหลัง ของ แมตช์สหภาพโซเวียตและรัสเซียปะทะส่วนที่เหลือของโลก

เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เข้าสู่แมตช์ที่สาม ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสหภาพโซเวียต (USSR) ได้ยกระดับมาตรฐานหมากรุกให้อยู่ในระดับที่ชาติอื่น ๆ เท่านั้นที่จะปรารถนา สหภาพโซเวียตได้ผลิตแชมป์โลกแบบไม่ขาดสายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ถึง 1970 นับตั้งแต่การเข้าร่วมครั้งแรก สหภาพโซเวียตได้ครอบงำการแข่งขันหมากรุกของทีมอย่างสมบูรณ์ เช่น หมากรุกสากลโอลิมเปียด และชิงแชมป์ทีมยุโรป สิ่งที่เด่นชัดคือช่องว่างระหว่างฝ่ายทีมชาติโซเวียตกับคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุด โดยต้องมีความท้าทายที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อประเมินขอบเขตอำนาจสูงสุดของพวกเขาอย่างเต็มที่ ความท้าทายดังกล่าวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1970 เมื่อมักซ์ อูแว (ประธานสมาพันธ์หมากรุกสากลโลกในขณะนั้น) ได้ประกาศการแข่งขัน เพื่อให้พลังร่วมจากส่วนที่เหลือของโลก เข้าต่อสู้กับความแข็งแกร่งของสหภาพโซเวียต

หากโซเวียตเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะสวมมงกุฎเกียรติยศ ค่ายระดับโลกก็มุ่งมั่นที่จะแสดงให้เห็นว่าการปรากฏตัวของบอบบี ฟิชเชอร์ ในฐานะแชมป์โลกในอนาคตเป็นเครื่องแสดงของการเปลี่ยนแปลงที่แพร่หลายมากขึ้นในฐานอำนาจ[ต้องการอ้างอิง]

แม้ว่าสงครามเย็นจะบงการอารมณ์ทางการเมืองในยุคนั้น แต่ผู้เล่นจากกลุ่มตะวันออกซึ่งถูกครอบงำทางการเมืองโดยสหภาพโซเวียต ได้เข้าร่วมในฝั่งส่วนที่เหลือของโลกในทั้งสองแมตช์ โดยเฉพาะจากประเทศฮังการี และในแมตช์แรกจากประเทศเชโกสโลวาเกียและเยอรมนีตะวันออก ร่วมกับผู้เล่นากกลุ่มตะวันตก รวมถึงจากประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและเป็นกลาง เช่น ยูโกสลาเวีย และสวิตเซอร์แลนด์

ใกล้เคียง

แมตช์สหภาพโซเวียตและรัสเซียปะทะส่วนที่เหลือของโลก แมตช์บ็อกซ์ทเวนตี แมตต์ โบเมอร์ แมตต์ สมิธ (นักฟุตบอลเกิดปี พ.ศ. 2525) แมตต์ บัสบี แมตต์ ชรีเยร์ แมตต์ เดมอน แมตต์ สมิธ (นักแสดง) แมตต์ เลอ ทิสซิเอร์ แลตช์ (อิเล็กทรอนิกส์)