การรับรองหรือไม่รับรองโมฆียกรรม ของ โมฆียกรรม

"โมฆียกรรม เมื่อบอกล้างแล้วให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทน

ถ้าบุคคลใดได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าการใดเป็นโมฆียะ เมื่อบอกล้างแล้วให้ถือว่า บุคคลนั้นได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าเป็นโมฆียะ

ห้ามมิให้ใช้สิทธิเรียกร้องอันเกิดแต่การกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามวรรคหนึ่งเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันบอกล้างโมฆียะกรรม"
ม.176 ป.พ.พ.

โมฆียกรรมนั้นเป็นนิติกรรมที่มีความบกพร่องเนื่อง จึงมีลักษณะไม่สมบูรณ์เต็มร้อย แต่สามารถใช้บังคับได้ชั่วคราวจนกว่าจะมีการรับรองโดยการให้สัตยาบัน (อังกฤษ: confirmation) ก็จะกลับกลายมีผลสมบูรณ์ตลอดไป หรือจนกว่าจะมีการไม่รับรองโดยการบอกล้าง (อังกฤษ: annulment, avoidance หรือ nullification) เสีย ก็จะกลับกลายเป็นโมฆกรรมทันที

สัตยาบันนั้นกฎหมายไทยไม่ได้ให้นิยามไว้อย่างชัดเจน แต่เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมาย คือ ม.176 และ ม.177 ป.พ.พ. แล้ว จะสรุปนิยามของสัตยาบันได้ว่าคือ การเห็นชอบและรับรองโมฆียกรรมให้มีผลสมบูรณ์เพื่อสามารถใช้บังคับกันได้ต่อไปในระหว่างคู่กรณีแห่งนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆียนะนั้น[9]

ผู้มีสิทธิให้สัตยาบันหรือบอกล้างโมฆียกรรม

ตามกฎหมายไทยแล้ว บุคคลผู้มีสิทธิให้สัตยาบันหรือบอกล้างโมฆียกรรมนั้นเป็นบุคคลเดียวกัน โดย ม.177 ป.พ.พ. บัญญัติว่า "ถ้าบุคคลผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรมตาม ม.175 ผู้หนึ่งผู้ใดได้ให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรม ให้ถือว่าการนั้นเป็นอันสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก แต่ทั้งนี้ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอก" ซึ่ง ม.175 ป.พ.พ. กำหนดว่าได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้

1. นิติกรรมที่บุคคลผู้มีความสามารถบกพร่องตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ และคนวิกลจริต กระทำขึ้นนั้นจะตกเป็นโมฆียะ ดังนั้น ผู้เยาว์จะมีสิทธิให้สัตยาบันหรือบอกล้างโมฆียกรรมของตนเมื่อตนพ้นจากความเป็นผู้เยาว์คือบรรลุนิติภาวะแล้ว สำหรับคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถจะมีสิทธิเมื่อศาลสั่งให้เขาพ้นจากความเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว แต่คนเสมือนไร้ความสามารถจะใช้สิทธิดังกล่าวก่อนพ้นจากความเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้ ถ้าผู้แทนของเขาตามกฎหมาย คือ ผู้พิทักษ์ ได้ให้ความยินยอมแล้ว ส่วนคนวิกลจริตจะมีสิทธิเช่นนั้นเมื่อเขาไม่วิกลจริต

2. นิติกรรมที่กระทำขึ้นโดยการแสดงเจตนาอันวิปริต คือ เกิดจากความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน หรือถูกข่มขู่ หรือถูกกลฉ้อฉล จะตกเป็นโมฆียะ ดังนั้น ผู้มีสิทธิให้สัตยาบันหรือบอกล้างโมฆียกรรมในกรณีนี้ได้แก่ตัวผู้กระทำโมฆียกรรมนั้น เมื่อเขาทราบได้ว่าตนสำคัญผิดหรือต้องกลฉ้อฉลเช่นนั้น หรือเมื่อพ้นจากการถูกข่มขู่แล้ว

3. ผู้แทนตามกฎหมายของบุคคลผู้มีความสามารถบกพร่องมีสิทธิให้สัตยาบันหรือบอกล้างโมฆียกรรมที่ผู้มีความสามารถบกพร่องกระทำขึ้น ผู้แทนเช่นว่า ได้แก่ ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ผู้อนุบาลคนไร้ความสามารถ หรือผู้พิทักษ์คนเสมือนไร้ความสามารถ

4. ทายาทของบุคคลผู้กระทำนิติกรรมอันป็นโมฆียะ มีสิทธิให้สัตยาบันหรือบอกล้างโมฆียกรรมเมื่อตัวผู้กระทำโมฆียกรรมนั้นถึงแก่ชีวิตแล้ว แต่ต้องเป็นกรณีที่ตัวผู้กระทำตายลงก่อนจะได้ใช้สิทธิเท่านั้น ทายาทจึงจะใช้สิทธิแทนได้

ระยะเวลาการใช้สิทธิ

ตามกฎหมายไทยแล้ว กำหนดจุดเริ่มต้นของระยะเวลาในการใช้สิทธิบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมว่า ให้เริ่มเมื่อมูลเหตุที่ทำให้นิติกรรมกลายเป็นโมฆียะสิ้นสุดลง กล่าวคือได้แก่ เมื่อพ้นจากมูลเหตุแห่งการแสดงเจตนาโดยวิปริต คือ พ้นจากภาวะสำคัญผิด พ้นจากการถูกกลฉ้อฉลหรือทราบความจริงแห่งกลฉ้อฉล หรือพ้นจากการถูกข่มขู่, เมื่อผู้เยาว์พ้นจากความเป็นผู้เยาว์ คือ บรรลุนิติภาวะ, เมื่อ

วิธีการใช้สิทธิ

ดูเพิ่มที่ เจตนาทางแพ่ง

ตามกฎหมายไทยแล้ว ไม่มีวิธีการบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมกำหนดไว้ ดังนั้น การดังกล่าวจึงกระทำได้โดยวิธีการใด ๆ ก็ดีที่ให้คู่กรณีรับรู้ได้ว่าตนแสดงเจตนาบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมแล้ว ซึ่งคู่กรณีที่ว่านั้นต้องเป็นผู้มีตัวตนแน่นอน สามารถระบุตัวตนได้ชัดแจ้ง (ม.178 ป.พ.พ.)

และแม้การบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมจะเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว แต่ก็ต้องบอกให้คู่กรณีรับทราบด้วย การนี้จึงเข้าหลักการแสดงเจตนาที่มีว่า การแสดงเจตนาต่อผู้อยู่เฉพาะหน้ากัน จะมีผลเมื่อเขารับทราบแล้ว ที่ว่าอยู่เฉพาะหน้ากันนี้ไม่เพียงแต่อยู่ประจันหน้ากันเท่านั้น ยังหมายถึงกรณีที่โต้ตอบกันได้เสมออยู่ประจันหน้ากัน อาทิ กรณีสนทนากันทางโทรศัพท์ หรือทางโปรแกรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น (ม.168 ป.พ.พ.), ส่วนการแสดงเจตนาต่อผู้มิได้อยู่เฉพาะหน้ากันนั้น จะมีผลเมื่อการแสดงเจตนาไปถึงผู้รับการแสดงเจตนานั้นแล้ว (ม.169 ป.พ.พ.) สำหรับกรณีหลังนี้ กล่าวคือ ไม่ว่าผู้รับการแสดงเจตนาจะรับทราบเจตนาที่ส่งมาหรือยัง แต่เมื่อเจตนานั้นไปถึงเขาแล้ว อาทิ เจตนาส่งมาทางจดหมายมาถึงบ้านผู้รับการแสดงเจตนา แม่บ้านรับไว้ให้ เท่านี้ก็มีผลตามกฎหมายแล้ว

ดังที่กล่าวว่า การแสดงเจตนาบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมสามารถกระทำโดยวิธีการใดก็ได้ที่ทำให้คู่กรณีรับรู้ถึงเจตนานั้น เช่นนี้ หากกระทำโดยการแสดงออกที่สามารถรับรู้ได้ทันทีหรือโดยกระจ่างชัด เช่น พูด เขียน ฯลฯ ก็เรียกว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยตรง (อังกฤษ: direct declaration) อย่างไรก็ดี ยังมีพฤติการณ์บางอย่างที่กฎหมายกำหนดให้ถือหรือสามารถตีความได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมด้วย เรียกว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยปริยาย (อังกฤษ: implied declaration) ซึ่งได้แก่

1. ปฏิบัติการชำระหนี้ (อังกฤษ: performance) ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วน เช่น นาย ก ขณะเป็นผู้เยาว์ ไปกู้เงินนาย ข โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรมของตน ทำให้สัญญากู้เป็นโมฆียะ เมื่อนาย ก บรรลุนิติภาวะแล้วได้นำเงินไปชำระดอกเบี้ยให้นาย ข เช่นนี้แสดงว่านาย ก ยอมรับหนี้ในสัญญากู้นั้นแล้ว จึงถือว่านาย ก ให้สัตยาบันแก่สัญญากู้อันเป็นโมฆียะนั้นโดยปริยาย

2. เรียกให้ฝ่ายลูกหนี้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามที่เป็นหนี้กันไว้ เช่น นาย ก ขณะเป็นผู้เยาว์ ได้ซื้อแหวนวงหนึ่งจากนาย ข โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรมของตน ทำให้สัญญาซื้อขายนี้เป็นโมฆียะ เมื่อนาย ก บรรลุนิติภาวะแล้วได้เรียกให้นาย ข ส่งมอบแหวนดังกล่าวให้ เช่นนี้แสดงว่านาย ก ยอมรับว่าตนมีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว จึงถือว่านาย กใ ห้สัตยาบันสัญญาซื้อขายอันเป็นโมฆียะนั้นโดยปริยาย

3. ได้มีการแปลงหนี้ใหม่ (อังกฤษ: novation) คือ การที่คู่กรณีตกลงเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของหนี้เดิม ทำให้เกิดเป็นหนี้ใหม่และกฎหมายถือว่าหนี้เดิมเป็นอันระงับไป (ม.349 ว.1 ป.พ.พ.) เช่น นาย ก ถูกนาย ข ทำกลฉ้อฉลให้ตกลงขายรถจักรยานยนต์ให้ ทำให้สัญญาซื้อขายนี้เป็นโมฆียะ เมื่อ นาย ก ทราบความจริงแล้วกลับตกลงให้นาย ข นำข้าวสารมาชำระหนี้ที่มีอยู่คือค่าจักรยานยนต์นั้น ซึ่งโดยปรกติแล้วการชำระราคาย่อมกระทำด้วยเงิน เช่นนี้มีการตกลงกันให้แปลงหนี้เดิมคือการชำระด้วยเงิน เป็นหนี้ใหม่คือการชำระด้วยข้าวสาร ถือว่านาย ก ยอมรับสัญญาซื้อขายอันเป็นโมฆียะนั้นแล้ว จึงชื่อว่าเป็นการให้สัตยาบันโดยปริยาย

4.

ผลของการใช้สิทธิ