โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส (
อังกฤษ: infectious mononucleosis, IM) หรือ
โมโน เป็น
โรคติดเชื้อชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อ
ไวรัสเอ็ปสไตน์-บาร์หรืออีบีวี
[2] ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเด็ก ซึ่งมักมีอาการไม่รุนแรง
[2] หากผู้ป่วยเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ตอนต้น มักมีอาการ
ไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต และ
อ่อนเพลีย[2] อาการมักดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่อาจอ่อนเพลียต่อได้หลายเดือน
[2] บางรายมี
ตับโตหรือ
ม้ามโตร่วมด้วย
[3] อาจพบ
การฉีดขาดของม้ามได้ แต่พบน้อย ไม่ถึง 1%
[6]เชื้อทีเป็นสาเหตุหลักของโรคนี้คือเชื้อไวรัสเอ็ปสไตน์-บาร์หรืออีบีวี มีอีกชื่อว่าไวรัสเฮอร์ปีส์ในมนุษย์ ชนิดที่ 4 ซึ่งอยู่ในแฟมิลีไวรัสเฮอร์ปีส์
[3] นอกจากนี้ยังมีเชื้ออื่นอีกแต่พบไม่บ่อย
[3] ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านทาง
น้ำลาย ช่องทางอื่นที่พบได้น้อยคือทาง
น้ำอสุจิและทางเลือด
[2] ผู้ป่วยอาจติดเชื้อผ่านการสัมผัสวัตถุที่ปนเปื้อน เช่น แก้วน้ำ แปรงสีฟัน
[2] ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 สัปดาห์ ก่อนเริ่มแสดงอาการ
[2] การวินิจฉัยทำได้โดยดูจากอาการเป็นหลัก บางครั้งอาจจำเป็นต้องตรวจยืนยันโดยการตรวจหา
แอนติบอดีในเลือด
[3] ผล
การตรวจนับเม็ดเลือดมักพบว่ามี
เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซัยต์สูงกว่าปกติ โดยเป็น
ลิมโฟซัยต์แบบผิดปกติ (atypical) มากกว่า 10%
[3][7] ในสมัยก่อนเคยมีชุดตรวจสำเร็จรูปเช่น monospot แต่ปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้แล้ว เนื่องจากมีความแม่นยำต่ำ
[8]ยังไม่มี
วัคซีนที่ใช้ป้องกันเชื้อนี้
[2] การป้องกันโรคยังคงเน้นไปที่การงดใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน และงดจูบกับผู้ป่วย
[2] ผู้ป่วยมักมีอาการดีขึ้นได้เอง
[2] การรักษาเป็นการบรรเทาอาการและการรักษาประคับประคองโดยทั่วไป ได้แก่ การดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ ใช้
ยาแก้ปวดลดไข้เพื่อบรรเทาอาการไข้และอาการปวด เช่น
พาราเซตามอล หรือ
ไอบูโปรเฟน[2][4]ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นอายุประมาณ 15-24 ปี
[7] ส่วนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเล็ก ซึ่งมักมีอาการไม่รุนแรง
[9] หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยอายุ 16-20 ปี ที่มีอาการเจ็บคอ จะพบว่ามีสาเหตุจากโรคนี้ราว 8%
[7] ในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 45 ต่อประชากรแสนคน
[5] คนทั่วไปราว 95% จะเคยมีการติดเชื้ออีบีวีมาก่อน
[5] โรคนี้พบได้ตลอดปี
[7] ได้รับการบรรยายรายละเอียดของโรคเป็นครั้งแรกเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1920s และเป็นที่รู้จักในหมู่คนทั่วไปว่า "โรคจูบ" จากการที่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสน้ำลาย
[10]